บอริส จอห์นสัน นายกฯอังกฤษ (ป้ายแดง) : โดย ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช
เป็นไปตามความคาดหมาย “บอริส จอห์นสัน” (Boris Johnson) ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคอนุรักษนิยม และได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรโดยอัตโนมัติ
ตามกำหนดการ “เทเรซ่า เมย์” ทำการส่งมอบหน้าที่วันที่ 24 กรกฎาคม
(หมายเหตุ บทความเขียนเช้าวันที่ 24 ก.ค. เวลาประเทศไทยเร็วกว่า 6 ชั่วโมง)
การเลือกตั้งหัวหน้าพรรคมีขึ้นวันที่ 23 กรกฎาคม ผลการแข่งขันชิงตำแหน่งคือ
1 “บอริส จอห์นสัน” ได้ 92,153 คะแนน
1 “เจเรมี ฮันท์” ได้ 46,656 คะแนน
มิใช่มาจากคะแนนเสียงของประชาชน หากเป็นการเลือกโดยสมาชิกของพรรคและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรค เพราะวาระการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรียังเป็นของพรรคอนุรักษนิยม กล่าวคือเมื่อเลือกหัวหน้าพรรคได้แล้วก็จะได้นายกฯโดยอัตโนมัติ
เหตุที่มีการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคใหม่ก็เพราะ “เทเรซ่า เมย์” แก้ปัญหา “เบร็กซิท” ล้มเหลว
จึงเป็นเหตุให้ลาออกจากนายกรัฐมนตรี ตำแหน่งหัวหน้าพรรคก็ต้องสิ้นสุดลงด้วย
“เทเรซ่า เมย์” ลาออกจากตำแหน่ง ตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายน
แต่เป็น “นายกฯรักษาการ” มาตลอด จนถึงวันที่ 24 กรกฎาคม
“บอริส จอห์นสัน” เป็นอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ
“เจเรมี ฮันท์” เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ
“บอริส จอห์นสัน” นายกฯป้ายแดง เคยเป็นนายกเทศมนตรีลอนดอน เมื่อปี 2008 และเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศเมื่อปี 2016
ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีฯ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2018
ปี 2016 เขาเป็นหัวหอกในการผลักดันประเด็นการแยกตัวออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) ลัทธิประชานิยมของเขาได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง เพราะตรรกะไม่มีเหตุผล
“บอริส จอห์นสัน” ถือเป็นนายกรัฐมนตรี “อุบัติเหตุ” อันเกิด “เมย์” ลาออกก่อนครบวาระ
เขาถูกมองว่าเป็นฝ่าย “hard brexit” เมื่อเดือนพฤษภาคม เขาเคยกล่าวว่า เขาจะมีความสุขที่สุดหากการแยกตัวที่ไม่มีสัญญาสำเร็จลุล่วงก่อนวันที่ 31 ตุลาคม 2019
ก็เพราะการไม่ยอมละจุดยืน “hard brexit” ของ “บอริส จอห์นสัน” นั้น จึงได้สร้างความหวั่นไหวให้แก่คนอังกฤษและสร้างความกังวลของบรรดานักลงทุน
ความแตกแยกของสังคมจึงมากขึ้นและหนักขึ้น
ในที่สุด ปัญหา “เบร็กซิท” จะหาทางออกอย่างไร เป็นเรื่องที่น่าจับตามอง
เมื่อมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าของสมเด็จพระราชินีนาถ เอลิซาเบธที่ 2 ในวันที่ 24 กรกฎาคม “บอริส จอห์นสัน” ก็จะเป็นนายกรัฐมนตรีโดยสมบูรณ์
“เทเรซ่า เมย์” ก็พ้นหน้าที่รักษาการโดยอัตโนมัติ
“เทเรซ่า เมย์” อยู่ในตำแหน่ง 3 ปี พยายามผลักดันประเด็น “soft brexit” หากมิได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายประสงค์แยก และก็มิได้เป็นที่ยอมรับของฝ่ายประสงค์รวม
จึงถูกสภา “ตีตก” ถึง 3 ครั้ง ความเสื่อมก็มาเยือน
และเป็นเหตุให้ “เทเรซ่า เมย์” ลาออก
“เทเรซ่า เมย์” ได้กล่าวสุนทรพจน์เพื่ออำลาจากตำแหน่งเมื่อกลางเดือนกรกฎาคม มีถ้อยคำที่น่าสนใจตอนหนึ่งว่า “วันนี้สหราชอาณาจักรและทั่วโลกได้ดำรงอยู่ภายใต้ระบบเผด็จการทางการเมืองอันปฏิเสธการประนีประนอม (uncompromising absolutism) ซึ่งน่ากังวล”
เธอระบายในเชิงปริศนาว่า อันลัทธิประชานิยมนั้น ใครที่คิดต่างก็คือศัตรู และวิพากษ์ นักการเมืองส่วนหนึ่งดำเนินไปตามโลกทัศน์โดยศรัทธาในทฤษฎี Zero-sum game เพียงเพื่อพูดในสิ่งที่คนอยากฟัง ทั้งนี้ ปราศจากการประนีประนอมและเดินหน้าต่อไป ครั้นเมื่อพูดถึงปัญหาอาวุธนิวเคลียร์อิหร่าน เธอกล่าวว่า ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ แต่การประนีประนอมยังเป็นวิธีที่ดีที่สุด อีกทั้งเน้นย้ำการธำรงไว้ซึ่งสัญญาอาวุธนิวเคลียร์เป็นเรื่องสำคัญ
“เทเรซ่า เมย์” ได้บริภาษระบบเผด็จการทางการเมืองอันปฏิเสธการประนีประนอม ตลอดจนการพาดพิงถึงประเด็นสังคม การเมืองและเทคโนโลยี เป็นต้น
แม้มิได้เอ่ยนามว่าเป็นผู้ใด แต่โลกภายนอกก็เข้าใจว่าเป็นการพูดเหน็บ “บอริส จอห์นสัน” และ “โดนัลด์ ทรัมป์” ซึ่งเป็นการพูดจาเสียดสีประชดประชันตามแบบฉบับของผู้ดีอังกฤษ
“เทเรซ่า เมย์” เน้นย้ำว่า “Uncompromising absolutism เป็นการทำลายโอกาสการเจรจา อันระบบเผด็จการทางการเมืองดังกล่าวถือเป็นบ่อนเซาะความสามัคคีในสังคม ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงการแบ่งค่ายแยกขั้ว ควรต้องกลับไปเดินสายกลาง พร้อมกับได้ชื่นชมการเดินสายกลางของอดีตประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์”
“ไอเซนฮาวร์” เป็นอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 34 เป็นนักรบระบือนามในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นนักการเมืองที่เดินสายกลางในพรรครีพับลิกัน สนับสนุนมาตรการแห่งความเสมอภาค สมัยที่ดำรงตำแหน่งได้ผลักดันการออกกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ในสายตาของอเมริกันมองว่าเขาเป็นประธานาธิบดีของพรรครีพับลิกันที่สุดยอดคนหนึ่ง นักการเมืองที่เดินสายกลางอย่าง “ไอเซนฮาวร์” ปัจจุบันเหมือนงมเข็มในมหาสมุทร
“ไอเซนฮาวร์” คัดค้านลัทธิแม็กคาร์ธี ซึ่งเป็นทัศนคติที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการกล่าวหาผู้อื่นในประการไม่ซื่อสัตย์ การโค่นล้มอำนาจ หรือพฤติกรรมขายชาติ อันปราศจากหลักฐานนำสืบ ถือเป็นการละเมิดสิทธิของบุคคลที่ถูกกล่าวหาโดยสิ้นเชิง
บัดนี้ คำปรารภของ “เทเรซ่า เมย์” ได้สิ้นสุดไปพร้อมกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
บัดนี้ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรคนใหม่ได้แจ้งเกิดแล้ว
อายุเพียง 55 ของ “บอริส จอห์นสัน” ถือว่าอยู่ในวัยทำงาน
ภาวะ “หน้าสิ่วหน้าขวาน” ของสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะปัญหา “เบร็กซิท”
หวังว่า “นายกฯป้ายแดง” คงจะผ่านพ้นวิกฤตไปได้
และไม่ย่ำรอยแห่งประวัติศาสตร์ของ “เทเรซ่า เมย์”
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช