ภาวะทางตัน : โดย ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช
ถ้าพิจารณาถึงคำพูดของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ อันเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในเขตปกครองพิเศษฮ่องกงเมื่อต้นเดือนสิงหาคม
1 ยืนยันฮ่องกงเป็นส่วนหนึ่งของประเทศจีน
1 ปัญหาการต่อต้านร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนเป็นปัญหาระหว่างฮ่องกงกับจีน
ถือเป็นการเคารพอธิปไตยซึ่งกัน น่าชื่นชม
แต่ก่อนที่เขาออกมาพูด รัฐบาลจีนได้กล่าวหาว่าสหรัฐใช้อิทธิพลภายนอกทำการแทรกแซงปัญหาต่อต้านร่างกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นคำพูด ไม่ว่าจะเป็นจุดยืน มีความรุนแรงขึ้นตามลำดับ
หลังจากผู้ต่อต้านทำการบุกรุกสำนักประสานงานของจีนเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนได้แถลงว่า “เป็นที่ประจักษ์ว่ามีอิทธิพลต่างประเทศทำการครอบงำเหตุการณ์ฮ่องกงอยู่เบื้องหลัง โดยการวางแผนเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวอย่างมีระบบ ขอถามสหรัฐกำลังแสดงบทอะไรในเหตุการณ์นี้ ขอเตือนสหรัฐให้รีบนำมือมืดออกจากฮ่องกง”
“ต่ง เจี้ยนหัว” อดีตผู้ว่าการเขตปกครองพิเศษฮ่องกงเปิดเผยว่า “ไต้หวันและสหรัฐ คือผู้ที่ทำการผลักดันเหตุการณ์ต่อต้านกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนอยู่เบื้องหลัง”
เหตุการณ์ต่อต้านร่างกฎหมายนับวันรุนแรงขึ้น ซึ่งเกิดจากต้นเหตุที่รัฐบาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกงไม่สนใจความเห็นของประชาชน จึงมีปฏิบัติการที่แข็งขืนในการร่างกฎหมาย
ต่อมาก็ละล้าละลังไม่ตอบสนองการร้องขออันชอบธรรมของประชาชน รวมทั้งการถอนร่างอย่างเป็นทางการ ตลอดจนการจัดตั้งองค์กรอิสระเพื่อทำการสำรวจและดำเนินการ
“เหตุ” ทำให้เกิด “ผล” ไม่มีเหตุย่อมไม่มีผล
เหตุแห่งปัญหาฮ่องกงคือเกิดจากภายใน หากมิฉะนั้น อิทธิพลภายนอกหาแทรกแซงได้ไม่
อุปมาเหมือนกับคำสอนในโคลงโลกนิติที่ว่า “สนิมเนื้อ ในตน” คือเกิดจากการทำงานที่แข็งขืนของรัฐบาล ย่อมบ่อนเซาะจิตใจมนุษย์เสมือนสนิมกัดกร่อนเนื้อเหล็กให้ผุพังฉันใด
รัฐบาลฮ่องกงควรต้องหันหน้าให้กับความจริง
วันเดียวกับที่โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนออกแถลงการณ์ “หยาง เจี๋ยฉือ” หัวหน้าสำนักงานธุรกรรมต่างประเทศของพรรคได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว โดยการวิพากษ์สหรัฐและประเทศตะวันตกส่วนหนึ่งว่า กำลังถั่งโถมโหมแรงไฟสถานการณ์ฮ่องกง ทั้งนี้ ได้เรียกร้องให้ยุติการแทรกแซงธุรกรรมฮ่องกงทุกรูปแบบโดยพลัน
อาซิ้ม อาแป๊ะที่เมืองจีนก็ยังรู้ว่า “หยาง เจี๋ยฉือ” คือ “ร่างทรง” ของ “สี จิ้นผิง”
สรุปตามหลักเลขาคณิต “คำพูดของหยาง เจี๋ยฉือ ก็คือคำพูดของสี จิ้นผิง”
ซ.ต.พ.
สถานการณ์ทางการเมืองของฮ่องกงกลายเป็นเรื่องที่โจษขานกันทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐ ไม่ว่าจะเป็นสหราชอาณาจักร โดยเฉพาะอย่างยิ่งไต้หวันได้พูดถึงฮ่องกงเป็นรายวัน
ก็เพราะเมื่อต้นปี ปักกิ่งได้แจ้งไปยังไต้หวันอันเกี่ยวกับ “หนึ่งประเทศสองระบบรูปแบบไต้หวัน” เพื่อให้บรรลุเป้าหมายรวมจีน
แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ฮ่องกง ไทเปก็แสดงท่าทีชัดแจ้งว่า “ประสบการณ์จากหนึ่งประเทศสองระบบของฮ่องกง ทำให้การตัดสินใจของไต้หวันแน่นอนและหนักแน่นยิ่งขึ้นในอันที่จะธำรงไว้ซึ่งเสรีภาพ ประชาธิปไตยและอธิปไตย”
จุดยืนของไต้หวัน ตรรกะดี มีเหตุผล แต่ขัดต่อหลักการทูต และ “ฉันทามติ 92”
เหตุผลคือ “ระบอบสี จิ้นผิง เป็นการปกครองที่ไร้เสรีภาพ ไร้ประชาธิปไตย
อันมีเหตุการณ์ประเด็นร่างกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนเป็นประจักษ์”
ธรรมชาติของมนุษย์ต้องการเสรีภาพ พฤติกรรมของ “สี จิ้นผิง” เป็นเรื่องน่ารังเกียจ
หลังเหตุการณ์ “21 กรกฎาฯ” “โดนัลด์ ทรัมป์” กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเห็นว่าปฏิบัติการของ ‘สี จิ้นผิง’ มีความรับผิดชอบสูงยิ่ง เหตุการณ์ประท้วงได้ยืดเยื้อมาเป็นเวลายาวนาน ข้าพเจ้าหวังอย่างยิ่งว่าเขาคงรู้จักทำสิ่งที่ถูกต้อง”
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ปั่นป่วนที่ฮ่องกงยืดเยื้อต่อเนื่องดักดาน “เดดล็อก” กระชับเข้ามาทุกขณะ รัฐบาลเขตปกครองพิเศษฮ่องกงต้องแสดงความรับผิดชอบอย่างจริงจังและจริงใจ โดยทำการประนีประนอมกับประชาชน รวมทั้งตอบสนองในประเด็นที่ชอบด้วยกฎหมาย
เพื่อเป็นการ “ผ่าทางตัน” ทางการเมืองที่ดำรงอยู่ในปัจจุบัน
การแก้ปัญหาการเมืองของฮ่องกงจำเป็นต้องมี Political swing space จึงจะทำงานได้
เพราะวันนี้พลังจากภายนอก และการครอบงำของรัฐบาลจีนล้วนเป็นข้อผูกมัด
1 เรื่องที่ยืนยันได้คือ “พลังภายนอก” ย่อมต้องกระทบถึงการพินิจพิเคราะห์และการตอบโต้ของรัฐบาลจีน อีกทั้งกระทบต่อการทำงานในการแก้ปัญหาของฮ่องกง เพราะเป็นที่ประจักษ์ว่า “ระบอบสี จิ้นผิง ใครคิดต่างก็คือศัตรู ใครคิดต่างก็ต้องกำจัด”
วันนี้ ในสายตาของคนฮ่องกง “สี จิ้นผิง” ไม่ต่างไปจาก “ปีศาจ” ที่คอยหลอกหลอน
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช