ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
ส่งออก ท่องเที่ยว หัวจักรรายได้ สะดุดค่าเงินบาท
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ประธานนักกลยุทธ์ตลาดทุนสายงานธุรกิจตลาดเงินทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดตลาดเช้าวันที่ 26 สิงหาคม ที่ระดับ 30.58 บาทต่อดอลลาร์
แข็งค่าขึ้นจากช่วงสิ้นวันทำการก่อนที่ระดับ 30.60 บาทต่อดอลลาร์
ส่งผลให้ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบ 6 ปี
และแทบจะเป็นสกุลเงินเดียวในเอเชียที่แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง
ในระยะสั้น ยังจะมีการไหลเข้าของเงินทุนในตราสารหนี้อีกครั้ง เพราะผลตอบแทนจากการลงทุนในพันธบัตรทั่วโลกปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็ว
ขณะที่เมื่อเงินบาทไม่อ่อนค่าตามเงินหยวน ก็ทำให้นักลงทุนต่างประเทศกลับเข้ามาลงทุนระยะสั้นในประเทศไทย
นอกจากนั้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีกระแสการโอนเงินเพื่อเข้ามาลงทุนตรงในบริษัทไทย
เงินบาทจึงแข็งค่ายิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับภูมิภาค
ฟังดูเหมือนดี
เพราะประเทศที่ค่าเงินแข็งย่อมแสดงว่าพื้นฐานทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นจะต้องแข็งแกร่ง
จึงมีคนต่างประเทศเชื่อมั่น เชื่อใจ หอบเงินเข้ามาลงทุน จนกระทั่งผลักดันให้ค่าเงินในประเทศแข็งตัวขึ้น
แต่ความจริงของประเทศไทยเป็นเช่นนั้นหรือไม่
ดูจากคำให้สัมภาษณ์ข้างบนก็จะเห็นได้ชัด
ว่าการแข็งค่าของเงินบาทรอบนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรทั้งสิ้นกับปัจจัยเศรษฐกิจพื้นฐาน
แต่เกิดขึ้นเพราะ “การเก็งกำไร” ของนักลงทุนต่างประเทศ ที่เห็นส่วนต่างของดอกเบี้ยและอัตราแลกเปลี่ยนล้วนๆ
ถามว่าเมื่อค่าเงินแข็งตัวโดยไม่เกี่ยวข้องอะไรกับปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจ
อะไรจะเกิดขึ้นตามมา
คำตอบก็คือ-ปัญหา
ปัญหาของภาคเศรษฐกิจที่อาศัยรายได้จากเงินตราต่างประเทศ
ภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์วิเคราะห์ปัญหาของภาคการท่องเที่ยวไทยที่สร้างรายได้มากกว่าร้อยละ 10 ของจีดีพี
ว่ากำลังอยู่ในภาวะทรงกับทรุด
ด้วยปัญหาเฉพาะหน้า 3 ประการ
ข้อแรก นักท่องเที่ยวจีนมาเที่ยวน้อยลง
ข้อต่อมา การปรับตัวไม่ทันธุรกิจในโลกดิจิทัล
และข้อสุดท้าย ค่าเงินบาทแข็งตัวกว่าใครๆ ในภูมิภาค
ส่วนในระยะยาว การเน้นการท่องเที่ยวแบบไม่มียุทธศาสตร์รองรับ และความอ่อนด้อยในการปรับตัวสู่โลกดิจิทัล
จะทำให้อะไรที่เคยคิดว่าเป็น “เสน่ห์” เมื่อ 20-30 ปีก่อน กลายเป็น “ของเชย” ไปแล้วสำหรับโลกยุคใหม่
และนักท่องเที่ยวกลุ่มใหม่
ในขณะที่เพื่อนบ้านอย่างเวียดนามและกัมพูชา ปรับตัวได้ดีกว่า จนอัตราการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวเป็นเลขสองหลักมาหลายปี
หนึ่งในปัญหาเฉพาะหน้า
คือค่าเงินบาท
ในภาวะเศรษฐกิจฝืดเคืองถึงขั้นที่รัฐบาลต้องควักกระเป๋าขุดเงินกว่า 300,000 ล้านบาท ออกมาโปรยหว่าน
โดยหวังว่าจะพยุงหรือประคองเศรษฐกิจมิให้ตกต่ำกว่านี้
แต่ส่วนที่เป็นการ “หารายได้” เพื่อฉุดให้ภาวะเศรษฐกิจหลุดจากหลุมดำได้อย่างแท้จริง กลับถูกแตะต้องน้อยมาก
และหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ช่องทางในการแสวงหารายได้ตีบตัน อย่าง “ค่าเงินบาท”
ก็ถูกหยิบยกมาพูดถึงน้อยมาก
ตราบเท่าที่รายได้ที่เป็นเงินตราต่างประเทศจากภาคการส่งออกและการท่องเที่ยว ยังอยู่ในระดับที่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์ประชาชาติหรือจีดีพี
การแข็งค่าหรืออ่อนตัวของค่าเงินบาทแต่ละสลึงเฟื้อง ล้วนแล้วแต่มีความหมายอย่างยิ่ง
ยิ่งการแข็งค่าของค่าเงินเกิดจากการเก็งกำไร ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับการพัฒนาหรือลงทุนในเศรษฐกิจพื้นฐาน
ยิ่งเป็นอันตรายต่อเศรษฐกิจที่เปราะบางอยู่แล้ว
รัฐบาลคิดหาทางออกอย่างไร
ธนาคารแห่งประเทศไทยคิดหาทางออกอย่างไร
สังคมไทยจะหาทางออกอย่างไร