ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
ลีลารัฐบาล สีสันการเมือง มากกว่าการงาน
กลุ่มผู้สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
จัดทำเพจในเฟซบุ๊กชื่อ “ทีมลุงตู่” สรุปผลงานของรัฐบาลในรอบ 2 เดือนที่ผ่านมา ว่าสามารถ “ทำผลงานที่เป็นประโยชน์ เพื่อแก้ปัญหาประเทศชาติ และดูแลประชาชน” รวมทั้งสิ้น 9 ประการ
ผู้สนใจไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือคัดค้าน สามารถเข้าไปตรวจสอบดูได้
แต่จากผลงานที่สรุปมานี้ มีข้อสังเกตที่น่าสนใจอยู่ 2-3 ประการด้วยกัน
ประการแรก การทำงานของรัฐบาลเป็นไปอย่างกระจัดกระจาย
แต่ละพรรคแต่ละกระทรวงดำเนินการไปตามถนัด
โดยในจำนวนนี้พรรคที่โดดเด่นที่สุดคือภูมิใจไทย
กับนโยบายเปิดเสรีกัญชาทางการแพทย์ ไปจนกระทั่งถึงการ “บี้” โครงการรถไฟความเร็วสูงระดับหลายแสนล้านบาท และการ “รื้อ” รถไฟฟ้าสายสีส้ม ระดับแสนล้านบาทขึ้นไปเช่นกัน
และล่าสุดคือการผลักดันให้ยกเลิกสารพิษทางการเกษตร 3 ตัว ที่ได้รับแรงสนับสนุนอย่างล้นหลาม
ถึงจะต้องตามมาด้วยคำปฏิเสธของหัวหน้าพรรค ว่าไม่มีรายการ “เตะหมู” เข้าปากใครก็ตามที
นับว่าเป็นพรรคที่ “ทำการบ้าน” มามากที่สุด
ตามมาติดๆ ก็คือ พรรคประชาธิปัตย์กับนโยบายประกันราคาพืชผล
การสอดประสานของกระทรวงเกษตรฯ-พาณิชย์ ผลักดันเรื่องปาล์มน้ำมันและยางพารา อันเป็นพืชเศรษฐกิจของภาคใต้ที่เป็นฐานเสียงสำคัญ
คือการประสานการงานเข้ากับการเมืองได้อย่าง “เนียน” โดยแท้
พลังประชารัฐในฐานะพรรคแกนนำรัฐบาล มาตีตื้นเอาตอนท้ายด้วยนโยบาย “ชิม ช้อป ใช้” ที่กระหึ่มไปทั้งประเทศ
และจะโดยเห็นความนิยมที่พุ่งสูงขึ้น หรือเล็งผลทางเศรษฐกิจจริงๆ
ชิม ช้อป ใช้ระลอก 2 กำลังจะตามมาติดๆ
แต่นโยบายทั้งหมดนี้ไม่ได้สอดประสานเป็นเนื้อเดียวกัน
ประการที่สอง นโยบายและมาตรการทั้งหลายที่ออกมา ไม่ได้เพิ่มรายได้และเพิ่มโอกาสให้กับประชาชนส่วนใหญ่
นโยบายประกันราคาอาจจะพยุงความเดือดร้อนทางปากท้องของเกษตรกรได้ในระยะสั้น
แต่ไม่มีมาตรการเสริมอื่นๆ ที่จะทำให้ราคาพืชผล หรือมูลค่าสินค้าเกษตรเพิ่มสูงขึ้นจริง
ชิม ช้อป ใช้ประสบความสำเร็จทาง “การตลาด” อย่างยิ่งใหญ่
แต่ผลในทางเศรษฐกิจโดยรวมยังเป็นที่น่าสงสัย
แม้แต่คำแถลงของสำนักงานเศรษฐกิจการคลังที่ระบุว่า โครงการนี้จะทำให้จีดีพีของประเทศขยับขึ้นมาอีกร้อยละ 0.2 ก็ยังขาดแรงสนับสนุน
เพราะ 10 วันแรกของการดำเนินโครงการ มีประชาชนออกมาใช้เงินตามนโยบายไปเพียงประมาณ 2,000 ล้านบาท
เทียบกับจีดีพีของประเทศที่อยู่ในระดับ 14,000,000 ล้านบาท
ยังห่างไกลอย่างไม่ติดฝุ่น
คริสตาลิน่า จอร์จิเอวา ผอ.กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คนใหม่ล่าสุด
เปิดแถลงข่าวหลังรับตำแหน่งเป็นครั้งแรกด้วยการเตือนคนทั้งโลก ว่า
ปี 2020 จะเกิดปรากฏการณ์ เศรษฐกิจตกต่ำอย่างพร้อมเพรียงกันทั่วโลก
ร้อยละ 90 ของประเทศในโลกจะเผชิญหน้าภาวะเศรษฐกิจทรุดตัว
หนึ่งในสาเหตุหลักคือสงครามการค้าสหรัฐ-จีน
ซึ่งไอเอ็มเอฟคาดการณ์ว่าจะทำให้ปริมาณการค้าโลกหดตัวไปประมาณ 700,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
หรือประมาณร้อยละ 0.8 ของจีดีพีโลก
คำถามคือแล้วในประเทศที่มีปัญหาสารพัด
ทั้งการเมืองไม่มีเสถียรภาพ
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ย่อตัวกว่าเพื่อนบ้านและคนทั้งโลกมาหลายปี
ความเหลื่อมล้ำที่มีแต่เพิ่มขึ้นไม่เห็นแนวโน้มกลับหัว
ฯลฯ
มีการเตรียมตัวตั้งรับอย่างไรแล้วหรือยัง
มีใครออกมาตั้งธงให้เป็นกิจจะลักษณะ อะไร-อย่างไรบ้างหรือยัง
การทำงานที่กระจัดกระจายเป็นส่วนๆ มีสีสันการเมืองมากกว่าการงาน
ไม่มีหัวขบวนที่จะเป็น “ธงนำ” เพื่อฝ่ามรสุมที่เห็นอยู่ข้างหน้า
สภาพปากท้องและอนาคตเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างไรต่อไป
ดูช่างอึมครึมยิ่งนัก