ผู้เขียน | ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช |
---|
และแล้วก็ไม่เกินความคาดหมาย ก่อนการเจรจาการค้าจีน-สหรัฐ วันที่ 10 ตุลาคม ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐได้มีนวัตกรรมออกมาใหม่ โดยนำเอาสิทธิมนุษยชนของ “ซินเจียง” มาเป็นข้ออ้างอิง และนำเอารายชื่อขององค์กรธุรกิจไอทีของจีนรวม 8 บริษัทเข้าบัญชีดำ (black lists)
ธุรกิจไฮเทคยูนิคอร์นของฮ่องกงชื่อ “Sense Time” เป็น 1 ใน 8 ที่ถูกขึ้นบัญชีดำด้วย
Sense Time เป็นองค์กรธุรกิจจัดทำระบบเกี่ยวกับการวิเคราะห์ใบหน้า และรูปภาพขนาดใหญ่ อีกทั้งเป็นเทคโนโลยีจดจำใบหน้า วิเคราะห์ภาพถ่าย วิดีโอ และวัตถุอื่น เป็นต้น
ความไม่ลงรอยระหว่างจีน-สหรัฐ นับวันดุเดือดและร้อนแรงขึ้น
เขตปกครองพิเศษฮ่องกงต้องพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย
การตัดสินใจของวอชิงตันในครั้งนี้ เป้าหมายคือ
1 สกัดความเจริญและการพัฒนาด้านเทคโนโลยี “ปัญญาประดิษฐ์” (AI) ของจีน
1 ฮ่องกงถูกฉุดกระชากลากเข้ามาในวังวนแห่งสงครามเทคโนโลยีด้วย
เป็นคราวเคราะห์หามยามร้ายของฮ่องกง
Sense Time แจ้งเกิดที่จีน สำนักงานใหญ่อยู่ที่ฮ่องกง
เทคโนโลยีการจำแนกแยกแยะใบหน้า เป็นนวัตกรรมไฮเทคอย่างแท้จริง และเป็นที่นิยมชมชอบของประชาคมโลก ประสบความสำเร็จอันสูงยิ่ง เป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของจีน
ทว่า “ต้นไม้ใหญ่ย่อมต้านลม”
แม้ว่า Sense Time ของจีนเคยร่วมทำธุรกิจกับ “ซินเจียง” เขตปกครองตนเองมาก่อน
แต่บัดนี้ มิได้ทำธุรกรรมร่วมกันแล้ว
ทว่า กระทรวงพาณิชย์สหรัฐได้กล่าวหาว่า Sense Time ให้การสนับสนุนรัฐบาลจีนทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนของชาวมุสลิมที่เขตปกครองตนเองซินเจียง
เป็นที่มาของการนำชื่อ Sense Time ฮ่องกงเข้าบัญชีดำ
กรณีเสมือนต้อนหมูเข้าเล้า
และที่สำคัญคือ ห้ามมิให้บริษัทธุรกิจในสหรัฐทำการค้าหรือร่วมมือในทางธุรกิจ
แม้ว่า สหรัฐยืนยันว่า การนำเข้าบัญชีดำนั้น ไม่เกี่ยวข้องกับสงครามการค้า
ความจริงปรากฏว่า ตั้งแต่ “ทรัมป์” ขึ้นดำรงตำแหน่ง น้อยครั้งที่อ้างประเด็นสิทธิมนุษยชน
ความจริงปรากฏว่า คราวนี้ได้อ้างเอาสิทธิมนุษยชน ทำการ “ลงดาบยูนิคอร์นฮ่องกง”
แน่นอน พฤติกรรมของ “ทรัมป์” ตั้งแต่ “ดาบแรก” ลงที่ “หัวเว่ย” และ “Sense Time” ตามมาเป็นดาบที่ 2 นั้น ชัดเจนยิ่งว่า นอกจากเป็นการ “เพิ่มต้นทุน” ในการเจรจาทางการค้าวันที่ 10 ตุลาคม ยังเป็นการสกัดการพัฒนาเทคโนโลยีของจีนอีกด้วย
คอนเฟิร์ม
นอกจาก 5G จีน-สหรัฐกำลังแข่งขันเทคโนโลยี “ปัญญาประดิษฐ์” (Artificial Intelligence=AI) ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่สุดฮิตในโลกปัจจุบัน
ในโลกนี้มีองค์กร AI อยู่ทั้งหมด 32 แห่งที่เรียกกันว่า “Unicorn”
Unicorn คือองค์กรธุรกิจที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดเกินกว่า 1 พันล้านเหรียญสหรัฐ และจากจำนวน 32 แห่ง องค์กรที่อยู่ในสหรัฐมีถึง 17 แห่ง
เจ้าหน้าที่ระดับสูงทางด้านเทคโนโลยีวอชิงตันกล่าวว่า ธุรกิจทางด้าน AI ของสหรัฐ ยังเป็นผู้นำของโลก แต่จีนไล่ตามมาติดๆ และกระชับเข้ามาทุกขณะ
ในขณะที่จีนได้ประกาศ “พิมพ์เขียว” ออกมาว่า จีนจะกลายเป็นผู้นำของโลกในปี 2030
จึงเป็นความกังวลในดวงหทัยของอเมริกันชน
นักการเมืองสายเหยี่ยวสหรัฐ จึงเรียกร้องให้วอชิงตันต้องใช้ไม้แข็ง สั่งห้ามมิให้สถาบันการเงินสหรัฐสนับสนุนด้านการเงินแก่บริษัทที่ถูกขึ้นบัญชีดำ
การกำหนดบัญชีดำของกระทรวงพาณิชย์สหรัฐในครั้งนี้
อันอ้าง “สิทธิมนุษยชน” นั้น ถ้าอุปมาก็คือ “แส้” ที่ใช้เฆี่ยนตีผู้อื่น
ผู้เชี่ยวชาญด้านไฮเทคของสหรัฐยอมรับว่า สหรัฐไม่สามารถสกัดจีน อันเกี่ยวกับการพัฒนาเทคนิคการจำแนกแยกแยะใบหน้าของมนุษย์
การที่วอชิงตันทำการเชือดธุรกิจไฮเทคของจีน ย่อมมีโอกาสที่จะการทำให้เศรษฐกิจของ 2 ประเทศหลุดจาก “ห่วงโซ่” รังแต่จะทำให้เกิดไฮเทค 2 ค่าย ระบบไฮเทค 2 รูปแบบ
อันอาจเป็นต้นเหตุให้ความร่วมมือระหว่างจีน-สหรัฐต้องสิ้นสุดลง
และจะต้องประจัญหน้ากัน
การที่ Sense Time ฮ่องกงถูกเชือดท่ามกลางภาวะจีน-สหรัฐขัดแย้งร้อนแรงในครั้งนี้ เป็นการสะท้อนให้เห็นว่า การที่ฮ่องกงจะอยู่อย่างโดดเดี่ยวเหมือนในอดีตไม่ได้แล้ว เพราะความจริงปรากฏว่า ถูกกดดันให้ต้องเลือกข้าง แล้วจะอยู่อย่างไรต่อไป
(หมายเหตุ : บทความเขียนวันที่ 9 ตุลาคม)