ของขวัญสิ้นปี รัฐบาลจัดให้ เทกระจาดแสนล้าน

ของขวัญสิ้นปี รัฐบาลจัดให้ เทกระจาดแสนล้าน

ของขวัญสิ้นปี รัฐบาลจัดให้ เทกระจาดแสนล้าน

นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยหลังการประชุม ครม. วันที่ 26 พฤศจิกายน ว่า

ครม.มีมติเห็นชอบชุดมาตรการกระตุ้นที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี และต่อเนื่องไปยังต้นปีหน้า วงเงินประมาณ 1.487 แสนล้านบาท

ประกอบด้วย

Advertisement

โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานราก ที่มี 3 โครงการย่อย ได้แก่

-โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานระดับหมู่บ้าน โดยจัดสรรเงินให้แก่กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง 71,742 แห่ง แห่งละไม่เกิน 200,000 บาท วงเงินรวม 14,348.4 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินทุนในการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดเล็กในชุมชน และส่งเสริมให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่

โดยอยากให้เร่งเบิกจ่ายเร็วที่สุด ไม่เกิน 6 เดือน

Advertisement

-โครงการพักชำระหนี้สมาชิกกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองตามความสมัครใจ เพื่อให้นำเงินส่วนดังกล่าวมาประกอบอาชีพสร้างรายได้ มาดำรงชีพ เพื่อบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนและหนี้นอกระบบ โดยพักชำระเฉพาะหนี้เงินต้นเป็นเวลา 1 ปี โดยสามารถดำเนินการได้ทันที

คาดว่าจะมีสมาชิกกองทุนหมู่บ้านพักชำระหนี้ 5 หมื่นล้านบาท จากเงินกู้หมุนเวียน 1.8 แสนล้านบาท

-โครงการสินเชื่อธุรกิจชุมชนสร้างไทย โดยธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 50,000 ล้านบาท ให้กับกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง สถาบันการเงินชุมชน สหกรณ์การเกษตร กลุ่มเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน วิสาหกิจเพื่อสังคม เพื่อลงทุนและเป็นค่าใช้จ่ายหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ

โดยคิดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.01% ต่อปี เป็นระยะเวลา 3 ปี

ส่วนมาตรการที่ 2 คือการช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ผ่านโครงการช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าว ปีการผลิต 2562/63

โดยเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้ปลูกข้าวปี 2562 กับกรมส่งเสริมการเกษตรจะได้รับเงินช่วยเหลือค่าเก็บเกี่ยวและปรับปรุงคุณภาพข้าวเฉพาะเกษตรกรรายย่อยอัตราไร่ละ 500 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 20 ไร่ หรือครัวเรือนละไม่เกิน 10,000 บาท วงเงินรวม 26,793 ล้านบาท

นอกจากนี้ รัฐบาลยังอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติมในโครงการโดยสนับสนุนต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปี ปีการผลิต 2562/63 วงเงินเพิ่มเติมอีก 2,600 ล้านบาท

มาตรการที่ 3 คือ การลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัย ภายใต้โครงการบ้านดีมีดาวน์ เพื่อเป็นการลดภาระและสนับสนุนให้ประชาชนทั่วไปมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง

โดยภาครัฐสนับสนุนเงินเพื่อลดภาระการผ่อนดาวน์ (Cash Back) จำนวน 50,000 บาท ต่อราย

ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมมาตรการต้องเป็นผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อเดือน หรือไม่เกิน 1,200,000 บาทต่อปี ผู้ที่อยู่ในระบบฐานภาษีอากรของกรมสรรพากร กำหนดไว้เพียง 100,000 รายแรกเท่านั้น

ซึ่งต้องซื้อในระยะเวลากำหนดตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน-31 มีนาคม 2563 รัฐบาลใช้งบประมาณในมาตรการนี้ประมาณ 5,000 ล้านบาท

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) กล่าวว่า ในช่วงแรกคาดว่าจะมีเม็ดเงินจากมาตรการลงสู่ระบบเศรษฐกิจ 8 หมื่นล้านบาทมาจากการพักชำระหนี้กองทุนหมู่บ้าน และการช่วยเหลือชาวนา

ส่วนในระยะต่อไปคาดว่าจะมีเม็ดเงิน 2-3 หมื่นล้านบาท จากมาตรการลงทุนกองทุนหมู่บ้าน และมาตรการด้านอสังหาริมทรัพย์

ความหวังของรัฐบาลและกระทรวงการคลังจะเป็นจริงหรือไม่ ยังต้องให้ความเป็นจริงพิสูจน์

แต่ถ้าพิจารณาจากคำให้สัมภาษณ์ของ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ระบุว่าเครื่องมือของรัฐ 4 ขาในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เดินอยู่เพียงขาเดียว

ประกอบกับแนวทาง “รดน้ำที่ยอด” หรือการกระตุ้นการใช้จ่าย โดยหวังว่าจะไปกระตุ้นการผลิต มากกว่าการ “รดน้ำที่ราก” อันได้แก่การพัฒนาอาชีพและสร้างรายได้

เงินอีก 1.5 แสนล้านยังเป็นการ “ดื่มน้ำทะเลแก้กระหาย” ไม่ต่างไปจากเดิม

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่

เพิ่มเพื่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image