คาดหมายถอดถอนทรัมป์ไม่สำเร็จ สองพรรคใหญ่ประสงค์ปิดจ๊อบด่วน โดย ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช

การที่สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐมีมติถอดถอนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ให้ออกจากตำแหน่ง ถือเป็นประธานาธิบดีที่ถูกถอดถอนคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์สหรัฐ

เหตุการณ์หลังจากมติถอดถอนของสภาผู้แทนราษฎร

1 พรรคเดโมแครตปราศจากความกระตือรือร้น ดูเหมือนต้องการให้เรื่องจบเร็วโดยส่งต่อให้วุฒิสภาทำการไต่สวน และตัดสินให้โดนัลด์ ทรัมป์ พ้นผิด

เพราะจำนวนเสียงของสมาชิกวุฒิสภาคือคำตอบที่แน่นอนแล้ว

Advertisement

1 บรรยากาศทำเนียบขาวแปรเปลี่ยน ดูเหมือนต้องการให้เรื่องยุติโดยเร็วเช่นกัน

ไม่ว่าพรรคเดโมแครต ไม่ว่าทำเนียบขาว ล้วนประสงค์ให้ “ปิดจ๊อบ” โดยด่วน เหตุผลคือ

1.โอกาสในวุฒิสภาที่จะถอดถอนทรัมป์ได้สำเร็จแทบไม่มีเลย

Advertisement

2.ทั้งพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันต่างจดจ่อต่อการหาเสียงเลือกตั้ง 2020

สาเหตุที่ทรัมป์ถูกสภาผู้แทนราษฎรลงมติถอดถอนครั้งนี้ ก็เพราะถูกกล่าวหา

1.ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ

2.ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของสภาคองเกรส

แม้ว่าทรัมป์อาจไม่ถูกถอดถอนจากวุฒิสภา แต่ก็เป็นรอยด่างที่ลบไม่ออก

ส่วนพรรคเดโมแครตเห็นว่า โอกาสที่จะถอดถอนในวุฒิสภานั้น คงเป็นไปไม่ได้ ในทางตรงกันข้าม อาจกลายเป็นการเพิ่มต้นทุนการป้องกันแชมป์ให้แก่ทรัมป์ในการเลือกตั้ง 2020

เหตุการณ์ถอดถอนโดนัลด์ ทรัมป์ ครั้งนี้ ยากที่กล่าวว่าใครคือผู้ชนะ แต่ที่แน่ๆ คือ ทั้งโดนัลด์ ทรัมป์ พรรครีพับลิกัน และพรรคเดโมแครต รีบดำเนินการ “ปิดจ๊อบ”

เป็นเรื่องที่ดีที่สุด

ตั้งแต่โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่ง พายุการเมืองเกิดขึ้นไม่ขาดสาย เริ่มตั้งแต่ประเด็น “รัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐ 2016” และตามด้วยกรณี “ยูเครน”

เดือนสิงหาคม สายข่าวความมั่นคงสหรัฐกล่าวหาว่าทรัมป์ใช้อำนาจหน้าที่กระทำละเมิด โดยอ้างว่าเมื่อเดือนกรกฎาคม ทรัมป์ได้โทรศัพท์ข่มขู่กดดัน “โวโลดีมีร์ เซเลนสกี้” ประธานาธิบดียูเครนให้ทำการตรวจสอบเกี่ยวกับบุตรชายของ “โจ ไบเดน” ว่ามีพฤติกรรมทุจริตในประเทศยูเครนหรือไม่ ทั้งนี้ได้ระงับเงินช่วยเหลือทางการทหารไว้ก่อน จนกว่าได้รับผลการตรวจสอบ

“โจ ไบเดน” คืออดีตรองประธานาธิบดีสมัย “โอบามา” และเป็นผู้ที่คาดว่าจะได้เป็นคู่แข่งสำคัญของพรรคเดโมแครตในการเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2020

กรณี “ยูเครน” จึงกลายเป็นพายุทางการเมืองที่ร้อนแรง

และแล้วกรณี “ยูเครน” ก็กลายเป็นชนวนให้มีการถอดถอนทรัมป์ออกจากตำแหน่ง

ที่สหรัฐ ขบวนการถอดถอนประธานาธิบดีของสภา

1 บทบาทของสภาผู้แทนราษฎรเสมือนอัยการ เมื่อประธานาธิบดีถูกลงมติให้ถอดถอน ก็คือสภาผู้แทนต้องส่งเรื่องต่อให้วุฒิสภาพิจารณาตัดสินชี้ขาด เสมอการนำคดีขึ้นสู่ศาล

1 บทบาทของวุฒิสภาก็เสมือนศาล เมื่อพิจารณาเสร็จ การลงมติจะต้องได้เสียง 2 ใน 3 จึงจะทำการถอดถอนประธานาธิบดีได้

วุฒิสภามีสมาชิกทั้งหมด 100 คน 2 ใน 3 คือ 67 เสียง

พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมากคือ 53 เสียง ในขณะที่ฝ่ายค้านมี 47 เสียง

ถ้าวุฒิสภาจะถอดถอนทรัมป์ต้องหาอีก 20 เสียง จึงจะครบ 67 เสียง

ถ้าจำนวนเสียงครบตามเกณฑ์ ตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ก็ต้องสิ้นสุดโดยพลัน

สหรัฐอเมริกาสถาปนาประเทศ 243 ปี มีประธานาธิบดีที่ถูกถอดถอนเพียง 3 คน

1.ปี 1868 ประธานาธิบดีแอนดรูว์ จอห์นสัน

2.ปี 1974 ประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสัน

3.ปี 1998 ประธานาธิบดีบิล คลินตัน

“ริชาร์ด นิกสัน” เกิดจากกรณี “วอเตอร์เกต” หลักฐานมัดแน่น ชิงลาออกก่อนสภาลงมติถอดถอน ส่วน “แอนดรูว์ จอห์นสัน” และ “บิล คลินตัน” แม้ถูกสภาผู้แทนราษฎรลงมติถอดถอนแล้ว แต่วุฒิสภาพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีความผิด จึงให้พ้นโทษ

“โดนัลด์ ทรัมป์” เจริญรอย “จอห์สัน และคลินตัน”

จึงถือเป็นประธานาธิบดีคนที่ 3 ที่ถูกสภาผู้แทนราษฎรลงมติถอดถอน

หากพิเคราะห์ถึงสภาวะวุฒิสภาในวันนี้ พรรครีพับลิกันครองเสียงข้างมาก เป็นฝ่ายได้เปรียบ ทรัมป์จึงได้รับอานิสงส์จากการนี้ โอกาสที่จะถูกถอดถอนไม่น่าจะเกิดขึ้น นอกจากนี้

1 สมาชิกพรรครีพับลิกันคือ นักการเมืองที่มีอุดมการณ์เดียวกัน

1 พรรครีพับลิกันไม่มี “งูเห่า” เหมือนแถบนี้

อย่างไรก็ตาม โดนัลด์ ทรัมป์ ก็ได้กลายเป็นนักการเมืองที่มีจุดด่าง เป็นจุดด่างที่จะต้องถูกจารึกในประวัติศาสตร์สหรัฐอย่างเป็นนิรันดร์

เหตุการณ์เช่นนี้ ย่อมเป็นการกระทบถึงศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิ

แม้ทรัมป์แสดงอาการสงบนิ่งเสมือนไม่อะไรเกิดขึ้นต่อหน้าของผู้ที่สนับสนุนก็ตาม

แต่ความจริงปรากฏว่า ทรัมป์เลือดขึ้นหน้า ทันทีที่สภาลงมติถอดถอน เขาได้ทำหนังสือมีความยาวถึง 6 หน้า ส่งถึง “แนนซี เพโลซี” ประธานสภาผู้แทนราษฎร โดยบริภาษว่า กรณีถอดถอนคือ สถานการณ์หลอกลวง ประวัติศาสตร์จะได้ทำการสอบสวนเธอต่อไป ฯลฯ

อาการของทรัมป์ที่แสดงออกในหนังสือมีความต่างกับอาการที่เขาพบปะผู้สนับสนุน

เมื่อเปรียบเทียบข่าวฉาว “รัสเซีย” และ “ยูเครน” ย่อมมีความต่าง

1 ข่าวฉาวรัสเซีย แม้ว่าทรัมป์ได้มีการติดต่อกับเจ้าหน้าที่รัสเซีย มีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมและส่อพิรุธ แต่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอให้รับฟังได้ว่า รัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐ

1 ข่าวฉาวยูเครน ทรัมป์อาศัยอำนาจตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนในทางการเมือง ตัดงบช่วยเหลือทางการทหาร เป็นการบั่นทอนกำลังด้านกลาโหมของยูเครนที่จะต่อต้านรัสเซีย อันเป็นการทำลายผลประโยชน์ของสหรัฐ หลักฐานมัดแน่นดิ้นไม่หลุด หากวุฒิสภายังปล่อยให้ลอยนวลย่อมแสดงว่า ยอมอ่อนข้อต่อทรัมป์

ประเด็นจึงมีอยู่ว่า “โดนัลด์ ทรัมป์” จะตอบคำถามของผู้สนับสนุนอย่างไร

สัจธรรม 1 คือ เป็นการเมืองระบบเลือกข้าง พวกใครพวกมัน พรรคใครพรรคมัน โดยไม่คำนึงถึงความผิดชอบชั่วดี ไม่ละอายต่อบาป

อย่างไรก็ตาม แม้ทรัมป์จะต้องเผชิญกับปัญหาการถอดถอนก็ตาม แต่ความนิยมยังไม่ปรากฏมีการเปลี่ยนแปลงหรือลดน้อยถอยลง

หลายเดือนที่ผ่านมา อัตราการสนับสนุนยังอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 45

หากพินิจถึงการใช้ชีวิตของอเมริกันชน ส่วนใหญ่ไม่สนใจ “การเมือง” หากสนใจ “การเงิน”

เพราะการเมืองอยู่ไกลตัว การเงินอยู่ใกล้ตัว จึงให้ความสำคัญมากกว่า

อเมริกันชนให้ความสำคัญแก่เศรษฐกิจ และสนใจแต่เงินในกระเป๋าของตนเท่านั้น

ดังนั้น ทรัมป์จึงยืนยันเสมอว่า ภายใต้การบริหารของเขา เศรษฐกิจดีมาก ดัชนีหุ้นสหรัฐขึ้นสูง และวันนี้การดำเนินการตามสัญญาข้อตกลงเบื้องต้นสงครามการค้าจีน-สหรัฐ ก็คือ

Top priority !

ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image