รื่นร่มรมเยศ : คนดีตกนํ้าไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

“คนดี” หมายถึงคนทำดี คนทำดีคือทำอะไรบ้าง ถ้าท่านเป็นชาวพุทธคงจะตอบคำถามนี้ได้ไม่ยาก เพราะในพระพุทธศาสนามีหลักเกณฑ์สำหรับตัดสินอยู่ว่า อย่างไรเรียกว่าทำดี อย่างไรเรียกว่าทำไม่ดีหรือทำชั่ว

ถ้าตอบง่ายๆ ก็ต้องตอบว่า คนทำดีหรือคนไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น

อย่างต่ำก็หมายถึงคนรักษาศีล 5 ได้อย่างเคร่งครัด เพราะศีล 5 เป็นหลักแห่งการไม่เบียดเบียนตนเองและคนอื่น

ศีลข้อหนึ่ง ห้ามฆ่าสัตว์ นี่คือห้ามมิให้เบียดเบียนคนอื่น

Advertisement

ศีลข้อสอง ห้ามลักทรัพย์ นี่คือห้ามมิให้เบียดเบียนคนอื่นหรือล่วงละเมิดทรัพย์ อันเป็นที่หวงแหนของคนอื่น

ศีลข้อสาม ห้ามผิดในกาม นี่คือห้ามละเมิดสิทธิครอบครองของผู้อื่น พูดง่ายๆ คือห้ามผิดลูกเมียเขา อันเป็นการเบียดเบียนคนอื่นเช่นเดียวกัน

ศีลข้อสี่ ห้ามพูดเท็จ นี่ก็ห้ามมิให้เบียดเบียนคนอื่นเช่นกัน

Advertisement

ศีลข้อห้า ห้ามดื่มสุราเมรัย นี่เป็นการเบียดเบียนตนโดยเฉพาะใครไม่เชื่อว่าการกินเหล้าและเครื่องดองของเมาทุกชนิดเป็นการเบียดเบียนตนอย่างไร ก็ลองบำเพ็ญตนเป็น “ปีศาจสุรา” ดูสักพักสิครับ รับรองโรคตับแข็งหรือพิษสุราเรื้อรังถามหาแน่นอน

ถ้าพูดให้สูงขึ้นไปอีกนิด คนทำดีก็คือคนทำกุศลกรรมบถ 10 ให้สมบูรณ์นั่นเอง

กุศลกรรมบถ 10 ประการ ไม่จำเป็นต้องจาระไนละเอียด สรุปสั้นๆ ได้แก่

-เว้นจากกายทุจริต 3 (ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ผิดในกาม)

-เว้นจากวจีทุจริต 4 (พูดเท็จ พูดหยาบ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ)

-และเว้นจากมโนทุจริต 3 (โลภอยากได้ของเขา ปองร้ายเขามีความเห็นผิดทำนองคลองธรรม)

นี่คือกฎเกณฑ์ของการทำดี ใครรักษาศีล 5 ได้เคร่งครัด ใครทำกุศลกรรมบถ 10 ให้ครบสมบูรณ์ เรียกว่า “คนดี” ในทางพุทธศาสนา ที่ต้องเน้น “ในทางพระพุทธศาสนา” ก็เพราะว่าในทางอื่นเขาอาจทำอย่างอื่นก็ได้ และได้รับยกย่องว่าทำดี เช่น ทางด้านการเมือง ใครที่กะล่อนเก่งๆ ให้ความหวังลมๆ แล้งๆ แก่ประชาชน ก็เรียกว่านักการเมืองดี (ฮิฮิ) ในด้านสังคม (บางยุคสมัย) ใครร่ำรวยขึ้นมาไม่ว่าจะด้วยวิธีที่ผิดศีลธรรมอย่างไร สังคมก็นับถือว่าเป็นคนดี (เขาดีเพราะเขามีเงิน ว่าอย่างนั้นเถอะ)

คนดีอย่างนี้ไม่ใช่คนดีทางพระพุทธศาสนา นับเป็นคนดีจอมปลอมครับ อย่าได้นิยมชมชอบและอย่าได้เอาเป็นตัวอย่าง

คนดีนั้นอย่าว่าแต่คนนับถือเลย แม้เทวดายังนับถือและเกรงกลัว จำได้ว่าเคยเล่าให้ฟังตรงนี้แล้วถึงเรื่อง “อนาถบิณฑิกเศรษฐี” ที่ทำบุญทำทานจนกระทั่งทรัพย์สินที่มีหมดไปเรื่อยๆ ครั้งหนึ่งธุรกิจของเศรษฐีล้มเหลวขาดทุนอย่างย่อยยับ ความเป็นอยู่ยากจนลง แต่เศรษฐีก็ไม่งดการทำบุญทำทาน

เทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูมาปรากฏตัวกล่าวสอนเศรษฐีให้เพลาๆ การทำบุญทำทานลงเสียบ้าง เพราะฐานะของเศรษฐีบัดนี้ตกยาก ไม่มีทรัพย์สินมากมายเหมือนแต่ก่อน แทนที่เศรษฐีจะเชื่อกลับตะเพิดส่ง ยิ่งรู้ว่าเป็นเทวดาที่สถิตอยู่ซุ้มประตูบ้านตนเอง ยิ่งโกรธใหญ่ ไล่ไม่ให้อยู่ที่นั่นอีกต่อไป

เทวดาแกไม่มีที่อยู่ ต้องกลับมาขอขมาเศรษฐี และได้รับอนุญาตให้อยู่ที่เดิมต่อไป

ที่อนาถบิณฑิกเศรษฐีมั่นคงในการทำดี ก็เพราะเศรษฐีเป็นพระอริยบุคคลระดับโสดาบัน คนระดับนี้ย่อมมั่นคงในพระรัตนตรัย ตระหนักแน่ถึงกฎแห่งกรรมว่า ทำดีย่อมได้ดีจริง ทำชั่วย่อมได้ชั่วจริง

คนทั่วไปไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ได้ ขอเพียงแต่รักษาศีล 5 ให้ดีที่สุด ทำบุญทำทานบ้างตามโอกาส ก็น่าสรรเสริญแล้ว คนเช่นนี้ “พระย่อมคุ้มครอง” ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ดังคำโบราณว่า ผมมีเรื่องจะเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่ง

เพื่อนรักของผมคนหนึ่งถูกรถเมล์ปรับอากาศทับขา ขณะที่ได้ข่าวเพื่อนนอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล ผมรีบบึ่งรถไปเยี่ยมด้วยความเป็นห่วง นึกสงสารในชะตากรรมของเพื่อนเป็นอย่างยิ่ง ไปโรงพยาบาลเห็นเพื่อนนอนคุยอยู่กับแขกที่มาเยี่ยมก่อนหน้าผมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ขาทั้งสองข้างคลุมด้วยผ้าห่มผืนหนา นึกชมในใจว่าขาขาดยังยิ้มระรื่น ถ้าเป็นเราคงทำใจไม่ได้แน่

ผมแข็งอกแข็งใจเปิดผ้าห่มออก จะดูว่าขาเพื่อนขาดขาเดียวหรือสองขา ก็ต้องร้อง “อ้าว” ด้วยความประหลาดใจ ขาเพื่อนมิได้ขาด เพียงแต่บวมเป่งทั้งสองข้างเท่านั้น

“ไหน คนโทรบอกผมว่า รถ ปอ. ทับขาคุณไง” ผมถามด้วยความสงสัย

“ทับจริงๆ เพื่อน ล้อหลังมันทับเหนือหัวเข่าผมจริงๆ” เพื่อนบอก

“เฮ้ย ถ้ามันทับจริงก็แหลกทั้งสองขาแล้ว” ผมแย้ง

“นั่นสิ ใครๆ ก็ว่าอย่างนั้น ผมเองก็ยังงงอยู่เลย” เพื่อนกล่าวแล้วก็เล่ารายละเอียดให้ฟังว่า เช้าวันที่เกิดเหตุพาลูกสาวขึ้นรถเมล์ปรับอากาศจะไปส่งที่โรงเรียน รอให้เด็กๆ ขึ้นรถจนหมดก่อนแล้วตัวเองจึงขึ้นตาม ขณะที่เด็กคนหนึ่งก้าวขาที่สองยังไม่พ้นพื้นดิน คนขับรถก็กระตุกเกียร์พุ่งทะยานออกจากป้าย เด็กจะตกรถ เพื่อนผมก็ผลักเด็กน้อยเขาไปในรถ ตัวเองเสียหลักจะหล่น พอดีมือคว้าราวเหนือประตูรถด้วยสัญชาตญาณ รถก็ไม่ยอมหยุด เพื่อนก็โหนต่องแต่งอยู่อย่างนั้น เป็นที่น่าหวาดเสียวแก่ผู้พบเห็นอย่างยิ่ง

เพื่อนเล่าว่าขณะนั้นไม่ได้นึกถึงอะไร นอกจากพระรัตนตรัย ปากก็พร่ำสวดคาถาชินบัญชรอย่างย่อ สวดไปภาวนาไป ขออย่าให้ลูกเป็นอะไรเลยเจ้าประคุณเอ๋ย
ไปได้สักระยะหนึ่งก็ร่วงลงสู่พื้น เท้าทั้งสองเข้าไปใต้ท้องรถพอดี รถเมล์ก็ทับต้นขา ได้ยินเสียงดัง “อึ๊ด” คนขับรถรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็จอดรถลงมาดูท่ามกลางไทยมุงมากมาย

เสียงคนร้องว่า “รถทับคน พาไปส่งโรงพยาบาลเร็ว” คนขับถามว่า “เป็นอะไรหรือเปล่า” เพื่อนผมบอกว่า “รถทับขาผม” คนขับบอกว่า “เป็นไปไม่ได้ รถผมหนัก 7 ตันนะครับ ถ้ามันทับขาจริงคุณเละแล้ว ไม่เป็นอย่างนี้หรอก” เพื่อนผมสติยังดีอยู่พูดว่า “คุณดูรอยล้อรถสิ มันอยู่บนขาผมนี่ไง”

เออจริงเสียด้วย รอยล้อยังปรากฏเป็นทางบนกางเกง แต่มหัศจรรย์พันลึกอะไรเช่นนั้น ขาทั้งสองของเพื่อนผมยังเหลืออยู่ครบ ไม่ขาดหายไปแต่อย่างใด

เมื่อไปถึงโรงพยาบาล หมอนำเข้าฉายเอกซเรย์ด่วน ผลปรากฏว่ากระดูกไม่เป็นอะไรแม้แต่นิดเดียว มีเพียงกล้ามเนื้อเท่านั้นที่ช้ำและฉีกขาดบางส่วน หมอ
บอกให้กลับบ้านได้ เพื่อนผมขอนอนโรงพยาบาลสักสามสี่วัน เพราะยังเคลื่อนไหวไม่ได้เลย หมอบอกว่าเตียงไม่มี กลับไปรักษาตัวที่บ้านดีกว่า เพราะอาการไม่สาหัสอะไร โรงพยาบาลแห่งแรกที่ไปเป็นโรงพยาบาลของรัฐก็น่าเห็นใจ เพราะคนไข้มาก ญาติคนป่วยจึงเปลี่ยนให้ไปพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนภายหลัง

หมอเอกซเรย์ซ้ำแล้วซ้ำอีกเพื่อให้แน่ใจว่าไม่เป็นอะไร และก็ไม่มีอะไรผิดปกติจริงๆ เล่นเอางงไปทั้งโรงพยาบาล ถามไถ่กันใหญ่ว่าเพื่อนผมแขวนพระอะไร รุ่นไหน จึงอยู่ยงคงกระพันปานฉะนี้ เพื่อนผมบอกว่าไม่แขวนพระอะไรเลย ตลอดชีวิตที่ผ่านมาก็ทำแต่คุณงามความดี ยึดมั่นในพระรัตนตรัย สวดมนต์ไหว้พระเป็นประจำ และคาถาที่ท่องเสมอก็คือ “คาถาชินบัญชร” มีเวลาว่างเมื่อใดก็ท่องทันที วันละไม่รู้กี่เที่ยว วันที่เกิดอุบัติเหตุ ขณะห้อยโหนอยู่บนรถเมล์ก็ท่องคาถาชินบัญชรอย่างย่อเสียงดังลั่นแข่งกับ
เสียงรถ

“มีเท่านี้จริงๆ ไม่ได้แขวนพระอะไรเลย แต่ใจผมอยู่กับพระตลอดเวลา” เพื่อนสรุป

ครับ คนที่มีพระอยู่ในใจตลอดเวลา ทำแต่ความดี พระย่อมคุ้มครองให้รอดปลอดภัยแน่นอน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image