การวิ่งไล่ลุงและเดินเชียร์ลุงผ่านไปแล้วอย่างเรียบร้อย มีประชาชนเข้าร่วมจำนวนมาก ทั้งที่สวนลุมพินี และที่สวนรถไฟ ผู้เข้าร่วมการวิ่งและเดิน ได้สื่อสารจุดยืนทางการเมืองของตนเองออกมาอย่างเด่นชัดว่า ทางหนึ่งสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อีกทางหนึ่งคัดค้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีการแสดงความคิดเห็นจากหลายฝ่าย บางความเห็นระบุว่าทำให้เสียเวลาขับเคลื่อนประเทศ น่าจะเอาเวลาไปทำอย่างอื่น บ้างเห็นว่า เป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งรอบใหม่ หรือเป็นรูปแบบหนึ่งของการลงถนน หรือการเมืองนอกสภา และหวั่นเกรงว่าจะเกิดการต่อสู้ทางการเมืองในถนน เหมือนเมื่อหลายปีที่ผ่านมา จนกลายเป็นข้ออ้างในการทำรัฐประหารในปี 2557
นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำ นปช. แสดงความเห็นว่า ที่มีคนกังวลว่ากรณีที่เกิดขึ้นจะนำไปสู่ความขัดแย้ง ประเทศจะกลับสู่วังวนเดิมนั้น ตนเห็นต่าง ความขัดแย้งกว่า 10 ปีที่ผ่านมาต่างหาก ที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหว 3 ฝ่ายในครั้งนี้ และประเทศไม่เคยออกจากวังวนเดิมเลย มีแต่เปลี่ยนตัวแสดงและรูปแบบการเคลื่อนไหว กลุ่มอำนาจนอกจากไม่แก้ปัญหา ยังทำให้สถานการณ์แย่ลงด้วยการสืบทอดอำนาจ ซึ่งสุ่มเสี่ยงจะเกิดความขัดแย้งใหญ่อีกในอนาคต คนที่ออกมาวิ่งไล่ลุง อายุต่ำกว่ากลุ่มที่ออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยกว่าสิบปีที่ผ่านมา และต่ำกว่าอายุเฉลี่ยของกลุ่มเดินเชียร์ลุง หลายปีมาแล้วที่พลังหนุ่มสาวเป็นเสียงข้างน้อยในขบวนการประชาธิปไตย สิ่งที่เกิดขึ้น จึงเป็นความเปลี่ยนแปลงที่รัฐบาลควรสำนึกว่าพัฒนาการทางการเมือง และธรรมชาติความเปลี่ยนแปลงของสังคมเป็นพลังบริสุทธิ์ ไม่ใช่เรื่องที่จะใช้อำนาจกดทับไว้ตลอดไปได้ หลังจากนี้คงมีการวิ่งและกิจกรรมรูปแบบอื่นๆ เกิดขึ้นต่อเนื่อง
คำเตือนจากนายณัฐวุฒิคือ กลุ่มที่ออกมาวิ่งไล่ลุงเป็นคนรุ่นใหม่ ที่เป็นพลังบริสุทธิ์ ต้องการเห็นความเปลี่ยนแปลง รัฐบาลควรรับฟังและไม่ปิดกั้นหรือใช้ความรุนแรงปราบปราม อันเป็นแนวทางของประชาธิปไตยที่รัฐบาลควรรับฟัง เพราะจากนี้ไป คาดว่าจะมีการเคลื่อนไหวในลักษณะนี้มากขึ้น ขณะที่กลุ่มสนับสนุนรัฐบาลก็จะออกมาแสดงจุดยืนของตนเองเช่นเดียวกัน จะเป็นสถานการณ์ที่อ่อนไหวอย่างมาก รัฐบาลจะต้องวางตัวเป็นกลาง ใช้กฎหมายอย่างเสมอภาคและเป็นธรรม ให้สองฝ่ายได้แสดงออกโดยไม่เลือกปฏิบัติ ขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องเร่งทำงานแก้ปัญหาให้ประชาชนและใช้ผลสำเร็จจากการทำงาน ลดเงื่อนไขในการชุมนุมขับไล่ แต่ถ้าใช้อำนาจปิดกั้น ใช้กฎหมายเข้าดำเนินการอย่างไม่ชอบธรรม อาจจะยิ่งกลายเป็นเงื่อนไขให้เกิดการต่อต้านมากขึ้น
