สถานการณ์สร้างวีรสตรี : โดย ชยานันต์ ศุกลวณิช
และแล้วก็ไม่เกินความคาดหมาย นางฉ้าย อิงเหวิน (蔡英文) พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้า (民主進步黨) ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดีไต้หวันอีก 1 สมัย เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2020
เป็นการเลือกตั้งที่ได้รับความสนใจมากที่สุดของคนฮ่องกงเป็นประวัติการณ์
ก็เพราะ “เหตุการณ์ฮ่องกง” ได้กลายเป็นตัวแปรการแพ้ชนะของการเลือกตั้งครั้งนี้
“ฉ้าย อิงเหวิน” ได้ใช้เหตุการณ์ประท้วงร่างแก้กฎหมายฮ่องกงเป็นสรณะ
โดยแปลงเป็น “ตู้เอทีเอ็มการเมือง”
สามารถชนะ “หาญ กั๋วอี๋” (韓國瑜) ผู้ท้าชิงของพรรคกั๋วหมินตั่ง (國民黨) อย่างถล่มทลาย “ฉ้าย” ชูประเด็นการเมือง ปฏิเสธนโยบาย “1 ประเทศ 2 ระบบ”
ในขณะที่ “หาญ” ใช้นโยบายเศรษฐกิจหาเสียง
ไม่ว่านโยบายการเมือง ไม่ว่านโยบายเศรษฐกิจ
ล้วนเป็นการหาเสียงแบบประชานิยม
ว่ากันว่า การที่ ฉ้าย อิงเหวินใช้ประชานิยมไม่เอาจีนแผ่นดินใหญ่
เป็นพฤติการณ์อันลืม “ชาติกำเนิด”
ย่อมเป็นการสร้างความระคายเคืองต่อปักกิ่ง
ความตึงเครียดปักกิ่งกับไต้หวัน คงเป็นปัญหาที่มิอาจหลีกเลี่ยง
การเลือกตั้งครั้งนี้ “ฉ้าย อิงเหวิน” ได้ทำลายสถิติการเลือกตั้ง โดยได้คะแนนเกินกว่า 8 ล้านเสียง ในขณะที่ “หาญ กั๋วอี๋” ได้ประมาณ 5.5 ล้านเสียง
คะแนนของ “ฉ้าย อิงเหวิน” คิดเป็นร้อยละประมาณ 55 ของผู้มีสิทธิลงคะแนน
หากประเมินผลงานของนาง 1 ปีที่ผ่านมา หาใช่โดดเด่นได้ไม่ หากเป็นปัจจัยภายนอก ซึ่งเป็นการอำนวยช่วยให้เธอชนะการเลือกตั้ง
ส่วน “หาญ กั๋วอี๋” แจ้งเกิดเมื่อครั้งเลือกตั้งข้าราชการท้องถิ่นเมื่อ 2018 โดยได้รับเลือกเป็นนายกเทศมนตรีเมืองเกาเสือง นับเป็นชัยชนะที่สะเทือนเวทีการเมืองไต้หวัน
“กระแสหาญ” มาแรงตามลำดับ การหยั่งเสียงความนิยม 1 ปีที่ผ่านมา หลายสำนักยืนยันว่าโอกาสการเป็นประธานาธิบดีไต้หวันของ “หาญ กั๋วอี๋” เป็นเรื่องที่ไม่อยู่ไกลตัว
แต่ผลเลือกตั้ง “11 มกราคม” เป็นการชี้ชัดถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างรวดเร็ว
รวดเร็วชนิดกลับจากหน้ามือเป็นหลังมือ เหตุผลคือ
1 ชูประเด็นความวุ่นวายฮ่องกงเพื่อเป็นยุทธศาสตร์การหาเสียง จึงเกิด “กระแสฉ้าย” ขึ้นมาโดยพลัน ความนิยมดีวันดีคืน การหยั่งเสียงจากรองกลายเป็นต่อ
1 ได้รับอานิสงส์จากการขัดแย้งจีน-สหรัฐยกระดับ
1 วอชิงตันอาศัยไต้หวันเป็นเครื่องมือ ทำการสกัดจีน
1 วอชิงตันทำการสนับสนุนไต้หวันอย่างออกหน้า โดยรัฐสภาผ่าน “กฎหมายไทเป” เป็นการอันค้ำจุนไต้หวันในประการที่จะบรรลุนิติสัมพันธ์กับต่างประเทศ
1 สงครามการค้าจีน-สหรัฐ เป็นเหตุกระทบถึงนักลงทุนไต้หวันในจีน จึงมีโรงงานส่วนหนึ่งย้ายฐานผลิตกลับสู่ไต้หวัน
ล้วนเป็นเหตุที่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ “ฉ้าย อิงเหวิน”
“กระแสฉ้าย” มาแรงเหมือนพายุบ้าหมู จึงเป็นเหตุให้ “กระแสหาญ”
ต้องลอยหายไปกับสายลม
เป็นคราวบุญมาวาสนาส่งของฉ้าย อิงเหวิน กอปรกับเธอมีความชาญฉลาดได้ฉวยโอกาส และใช้โอกาสเป็นและถูกต้องตาม “กาลและการณ์”
จึงปฏิเสธมิได้ว่า “วีรสตรี” นี้ ได้เกิดจากสถานการณ์โดยแท้
ชั่วข้ามคืน เธอก็ได้ครองตำแหน่งประธานาธิบดีอีก 1 สมัย
เป็นชัยชนะที่ไม่ธรรมดา
หากพินิจถึงผลงานของนาง ตั้งแต่ขึ้นดำรงตำแหน่ง ชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนได้รับการแก้ไขปรับปรุงไม่มาก การที่ได้รับเลือกเพราะเธอใช้ประชานิยมทางการเมืองในการหาเสียง โดยอ้างว่า ถ้ายอมรับนโยบาย “1 ประเทศ 2 ระบบ” ในอนาคตก็จะต้องประสบพบพานเหตุการณ์วุ่นวายเหมือนฮ่องกง ดังนั้น จึงต้อง “say no”
จึงกลายเป็นความกังวลในดวงหทัยของคนไต้หวัน
จึงกลายเป็นสาเหตุใหญ่ที่มีการเปลี่ยนใจมาเลือกเธอ
นอกจากนี้ เธอยังนำเอา concept อันเกี่ยวกับ “ชาติกำเนิด” มาเป็น “จุดขาย”
และดูประหนึ่งว่า จุดขายของเธอเป็นการบ่งบอกในเชิงสัญลักษณ์ว่า ถ้าผู้ใดไม่หย่อนบัตรให้เธอ กรณีก็คือบ่อนเซาะประชาธิปไตยของคนรุ่นหลัง
การเลือกตั้งคราวที่แล้ว ทั้งพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าและพรรคกั๋วหมินตั่ง ล้วนได้พูดถึง “ฉันทามติ 1992” ซึ่งเป็นการบรรลุความเข้าใจร่วมกันระหว่างผู้นำไต้หวันและผู้นำจีนแผ่นดินใหญ่อันเกี่ยวการบรรลุนโยบาย “จีนเดียว”
แต่การเลือกตั้งคราวนี้ “ฉ้าย อิงเหวิน” ได้กำหนดจุดยืนของไต้หวันคือ “ต่อต้านจีน”
กรณีย่อมเป็นการอันสร้างความแตกแยกระหว่างจีนไต้หวันและจีนแผ่นดินใหญ่
ความจริง ไม่ว่าคนจีนไต้หวัน ไม่ว่าคนจีนแผ่นดินใหญ่
ล้วนเกิดจากบรรพบุรุษเดียวกัน เลือดทุกหยดในร่างกายล้วนเป็น “เลือดจีน”
ยุทธศาสตร์การหาเสียงเพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่ง เป็นประชานิยมที่หาตรรกมาอธิบายมิได้
การหาเสียงด้วยวิธี “ลืมชาติกำเนิด” เป็นเรื่องวิปริต
น่าเชื่อว่า นโยบายต่อต้านจีนของ “ฉ้าย อิงเหวิน” อาจต้องนำมาซึ่งปัญหาที่ระคายเคืองต่อจีนปักกิ่ง ที่ล่อแหลมสุดคือ หลังจากการประกาศผลเลือกตั้ง เธอได้พรรณนาว่า “ผลการเลือกตั้งเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า คนไต้หวันปฏิเสธนโยบาย 1 ประเทศ 2 ระบบ อีกทั้งกล่าวว่า บรรดาเพื่อนพ้องน้องพี่ในฮ่องกงต่างยินดีปรีดากับการตัดสินใจของไต้หวัน”
แต่น่าเชื่อว่า เอาจริงเข้า รัฐบาลไต้หวันก็คงได้แต่สนใจผลประโยชน์ของไต้หวัน
หากมิใช่อนาคตของเขตปกครองพิเศษฮ่องกง
อย่างไรก็ตาม วันนี้ความสัมพันธ์จีนไต้หวัน-จีนแผ่นดินใหญ่ ตลอดจนสถานการณ์ทั่วไป
จักต้องเปลี่ยนแปลงแน่นอน
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช