‘สหรัฐ-ไต้หวัน’ถ่วงดุลอำนาจจีน ละเมิดนโยบาย‘จีนเดียว’ : โดย ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช

พลันที่ “ฉ้าย อิงเหวิน” พรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าชนะการเลือกตั้ง ได้เป็นประธานาธิบดีไต้หวันอีก 1 สมัย เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2020 เธอได้แจ้งปักกิ่งด้วยวาจาท่ามกลางคนไต้หวันนับแสนอย่างสั้น ย่อและห้วนว่า “สันติภาพ เสมอภาค ประชาธิปไตย การเจรจา”

ถือเป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่สร้างสรรค์ ซึ่งเป็นประเด็นที่จะพัฒนาความยั่งยืนถาวร และเป็นช่องทางที่จะกระชับให้คนจีน 2 ฝั่งช่องแคบมีความสัมพันธ์ที่ดีสืบไป

หากปักกิ่งตอบยืนยันต้องบรรลุ “ฉันทามติ 92” คัดค้าน “เอกราชไต้หวัน” ทุกวิถีทาง

รุ่งขึ้น หัวหน้าสำนักงานสหรัฐประจำไต้หวันได้เข้าพบ โดยไม่มีการแถลงรายละเอียด

Advertisement

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับความจริงว่า บัดนี้ความสัมพันธ์สหรัฐ-ไต้หวันได้เปลี่ยนไป

ย้อนมองอดีต แต่ก่อนสหรัฐพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะกับปักกิ่ง

แต่เดี๋ยวนี้สหรัฐได้กลายเป็น “หมูไม่กลัวน้ำร้อน” ไปแล้ว

Advertisement

ไม่ว่าก่อเหตุรอบเขตแดนของจีน ไม่ว่าปัญหาซินเจียง ไม่ว่าประเด็นร่างแก้กฎหมายฮ่องกง ไม่ว่าเหตุการณ์สนับสนุนฟิลิปปินส์ให้ปะทะกับจีน

ว่ากันว่า โดนัลด์ ทรัมป์ คือตัวการ

หลังจากที่โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นดำรงตำแหน่ง ได้ทำการปรับนโยบายต่างประเทศ พัฒนายุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ร่วมมือกับญี่ปุ่น ออสเตรเลีย และอินเดียวางแผนสกัดจีน อาทิ

เดือนมิถุนายน 2019 กระทรวงกลาโหมสหรัฐได้ออกประกาศเรียกว่า “รายงานยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก” โดยระบุว่าไต้หวันคือประเทศ (country) ที่เป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ที่น่าเชื่อถือ และมีความสามารถเพียงพอ

ดังนั้น ไต้หวันจึงได้ถูกบรรจุเข้าอยู่ในบัญชีรายชื่อที่จะร่วมกับการสกัดจีนด้วย

จึงถือว่าพรรคประชาธิปไตยก้าวหน้าของ “ฉ้าย อิงเหวิน” ได้รับการเทิดทูนอันสูงยิ่ง

“Think Tank” ของไต้หวันระบุว่า ถือเป็นโอกาสที่สุดยอดในรอบ 100 ปี เพราะเป็นกรณีที่เกินเลยปัญหา “ช่องแคบ” หากเป็นการอันเกี่ยวกับภูมิภาคหรือระดับโลก

ถ้าเป็นกีฬามวย ก็ต้องถือว่า ไต้หวันคือนักมวยที่ชกข้ามรุ่น

หากกรณีเป็นการละเมิดต่อแถลงการณ์ร่วม 3 ฉบับ อันเกี่ยวกับการสถาปนาความสัมพันธ์จีน-สหรัฐโดยสิ้นเชิง

บัดนี้ นัยแห่งแถลงการณ์ร่วม 3 ฉบับ ได้สูญสิ้นหมดไปพร้อมกับพฤติกรรมของโดนัลด์ ทรัมป์ คงไว้แต่ชื่อของแถลงการณ์เท่านั้น

ก็เพราะทรัมป์ไม่ยอมปฏิบัติตามนัยแถลงการณ์ โดยใช้ “บริการฉ้าย” เป็นเบี้ยตัว 1 บนกระดาน จึงเป็นเหตุให้สังคมเข้าใจว่า นโยบาย “จีนเดียว” สั่นคลอนแล้ว

ย้อนอดีตเมื่อ 4 ปีก่อน ครั้น “ฉ้าย อิงเหวิน” ขึ้นดำรงตำแหน่ง นางได้ปรับเปลี่ยนนโยบายของ “หม่า อิงจิ่ว” อดีตประธานาธิบดี

จาก “สร้างสันติภาพกับจีน เป็นมิตรญี่ปุ่น ใกล้ชิดสหรัฐ”

เป็น “ต่อต้านจีน ใกล้ชิดญี่ปุ่นและสหรัฐ”

ทั้งนี้ โดยเธอยอมลดสถานะลงมาแสดงเป็น “เบี้ยตัวหนึ่ง” ของสหรัฐ สำหรับการแข่งขันชิงชัยเพื่อเป็น “พี่ใหญ่” ระหว่างสหรัฐกับจีน

ดังนั้น ในการเลือกตั้ง “11 มกราคม” สหรัฐจึงสนับสนุนเธออย่าง “เต็มสูบ”

ว่ากันว่า การสนับสนุนของสหรัฐ รวมทั้งกระสุนดินดำด้วย

การสนับสนุน “ฉ้าย อิงเหวิน” ของสหรัฐ กระทำโดยเปิดเผย

ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งของไต้หวัน

สำนักงานสหรัฐประจำไต้หวัน ได้ออกแถลงการณ์สนับสนุนนางเป็นจำนวนไม่น้อย

แม้รู้ว่าเป็นเรื่องที่กระทำละเมิดและระคายเคืองต่อจีนแผ่นดินใหญ่ แต่ก็ทำ

และแม้ในอดีตสหรัฐไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน มีแต่สนับสนุนไต้หวันแบบไม่เปิดเผย

แต่ว่าเดี๋ยวนี้ สหรัฐทำแบบเย้ยทั้งฟ้าท้าทั้งดิน สิ้นยำเกรง

เป็นที่รู้กันทั่วไป การเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันครั้งนี้ สหรัฐแทรกแซงทุกวิถีทาง เป็นต้นว่า โฆษณาทางเว็บไซต์ให้แก่ ฉ้าย อิงเหวิน ตลอดจนการวางแผนเพื่อให้ได้รับชัยชนะ

วลี “ไม่มีอาหารกลางวันที่ไม่เสียเงิน” ได้ปรากฏให้เห็นเป็นประจักษ์จากการที่ไต้หวันได้ทำนิติกรรมสัญญาสั่งซื้ออาวุธจากสหรัฐเป็นจำนวนมาก

ก่อนการเลือกตั้งไม่นาน สหรัฐขายอาวุธยุทโธปกรณ์ให้ไต้หวัน ได้แก่ รถถัง จรวด ปืนกลหนัก กระสุนยิงไกล ยานหุ้มเกราะ และรถบรรทุกหนัก รวมเป็นเงิน 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐ

กรณีเป็นการขัดต่อแถลงร่วมจีน-สหรัฐในประเด็น ไต้หวันเป็นส่วนหนึ่งของจีนที่แบ่งแยกมิได้ ไม่มีอธิปไตย จึงทำนิติกรรมสัญญามิได้

เหตุการณ์ท้าทายก็ได้เกิดขึ้นโดยเรือรบสหรัฐได้ผ่านเข้าออก “สองฝั่งช่องแคบ” เป็นนิจศีล

นอกจากนี้ สหรัฐยังได้เดินสายให้ประเทศต่างๆ ในโลกให้ธำรงความสัมพันธ์กับไต้หวัน

ที่ระคายเคืองจีนแผ่นดินใหญ่ที่สุดคือ เอกสาร “เพนตากอน” ทุกฉบับอันเกี่ยวกับไต้หวันล้วนได้ระบุอยู่ในบัญชีรายชื่อ “ประเทศ” แล้วทั้งนั้น

แม้เนื้อแท้ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใดต่อไต้หวัน

แต่ก็เป็น “ของแสลง” ของจีนแผ่นดินใหญ่อันสุดยิ่ง

ตัดกลับไปดูผลการเลือกตั้งฮ่องกงและไต้หวัน

1 การเลือกตั้งท้องถิ่นฮ่องกงเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2019 ฝ่ายนิยมประชาธิปไตย

ชนะขาดลอย

1 การเลือกตั้งประธานาธิบดีไต้หวันเมื่อวันที่ 11 มกราคม 2020 ฉ้าย อิงเหวิน

ผู้สนับสนุนประชาธิปไตยก็ได้รับชัยชนะแบบถล่มทลาย

สรุป ผลการเลือกตั้งทั้งฮ่องกงและไต้หวัน ล้วนเป็นฝ่ายที่ “โปรประชาธิปไตย”

จึงเข้าตาสหรัฐ และถูกมองว่า ฮ่องกงและไต้หวันคือ “ผู้ร่วมชะตาเดียวกัน”

ดังนั้น วอชิงตันจึงกำลังวางแผนใช้ “บริการฮ่องกงและไต้หวัน” เพื่อทำการถ่วงดุลอำนาจประเทศจีน ทั้งนี้

โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในกฎหมาย “สิทธิมนุษยชนและประชาธิปไตยฮ่องกง”

สภาคองเกรสก็ได้มีมติเป็นเอกฉันฑ์ผ่านร่างกฎหมายที่เรียกว่า “กฎหมายไทเป”

วอชิงตันได้สั่งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้การสนับสนุนไต้หวัน ในประการที่ร่วมกิจกรรมกับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก ตลอดจนประเทศทั่วโลกทั้งความสัมพันธ์ทางการทูตและการเป็นหุ้นส่วนอย่างไม่เป็นทางการ กล่าวโดยสรุปคือสนับสนุนไต้หวันร่วมกิจกรรมทั่วโลก

พลันที่โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนาม กฎหมายก็มีผลทันที

พฤติกรรมพฤติเหตุเจือสมกัน ปักกิ่งย่อมต้อง “เลือดเข้าตา” แน่นอน

ที่แน่ๆ คือเป็นการอันคุกคามต่อการเจรจาสงครามการค้าจีน-สหรัฐ มิพักต้องสงสัย

หากพินิจถึงสถานภาพ ฮ่องกงได้อยู่ภายใต้อธิปไตยของจีน ธงห้าดาวพื้นแดงปลิวสะบัด แต่ไต้หวันมีความต่าง ต่างที่มีช่องว่างทางการเมือง

จึงไม่แปลกที่ฉ้าย อิงเหวิน พูดว่า “ขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่ความสัมพันธ์ไต้หวันและสหรัฐดีที่สุดในรอบ 30 ปี” และในสายตาของสังคม ความสัมพันธ์ไต้หวันและสหรัฐ อุปมาเสมือน

Just married !

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image