ฤๅ ประเทศไทยจะต้องเสียค่า(ไม่)บริหารเงินบาทกว่า 3 ล้านล้านบาท : โดย ดร.ไพทัน ตระการศักดิกุล

ปัญหาค่าเงินบาทแข็งอย่างต่อเนื่องเชื่อมโยงถึงการสูญเสียรายได้ของธุรกิจส่งออกไทย ซึ่งเป็นกลไกหลักสำคัญในการขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจจำนวนไม่ต่ำกว่า 3 ล้านล้านบาทใน 3 ปีที่ผ่านมา และกระทบถึงปัญหาปากท้องของเกษตรกรซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งทั้งทางภาครัฐ ธนาคารแห่งประเทศไทย นักวิชาการชั้นนำ และภาคเอกชน ได้ร่วมกันแสดงความรับผิดชอบด้วยการประชุมปรึกษาหารือ และสื่อสารกับประชาชนและผู้ประกอบการผ่านสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างโครงการ มาตรการ และวิธีการ เพื่อค่าเงินบาทอยู่ในระดับที่เหมาะสม และไม่แข็งค่ามากขึ้นเช่นหลายปี
ที่ผ่านมา

ถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้แสดงความคิดเห็นอันเกี่ยวโยงกับการออกแบบยุทธวิธีทางการเงินด้วยการออกข่าวชี้แจงอย่างต่อเนื่องว่าปัญหาค่าเงินบาทแข็งนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่เกี่ยวพันกับการเก็งกำไรค่าเงินระยะสั้นแต่อย่างใด ซึ่งแน่นอนว่าค่าเงินบาทแข็งย่อมจะต้องมีมูลเหตุพื้นฐานมาจากสภาพของระบบเศรษฐกิจไทยที่มั่นคงกว่าประเทศอื่นหลายประเทศในโลก สังเกตได้จาก การมีดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

และผู้เขียนเชื่อว่า แม้การที่ประเทศไทยมีดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง และระบบเศรษฐกิจมั่นคงกว่าประเทศอื่นดังกล่าว จะเป็นมูลเหตุพื้นฐานในการทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากขึ้นเช่นที่ผ่านมา ทุกภาคส่วนก็ยังมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการ มาตรการ และแผนปฏิบัติการ อีกทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่สามารถแก้ไข (เช่น ยับยั้ง หรือผ่อนคลาย) การแข็งค่าของเงินบาทไทยในระยะสั้นเฉพาะหน้า (เช่น 3-6 เดือนจากนี้) และแก้ไขปัญหาในระดับโครงสร้างควบคู่กันไป

ประเด็นแรกที่จะกล่าวถึงในบทความนี้ คือถ้อยแถลงของ ธปท.ที่ว่า การแข็งค่าของเงินบาทไม่เกี่ยวข้องกับการเก็งกำไรในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ ซึ่งหากเป็นจริง การแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทแข็งตามสมมุติฐานนี้ (กล่าวคือ หากดุลบัญชีเดินสะพัดส่วนเกินที่ก่อให้เกิดการขายเงินสกุลหลัก เช่น ดอลลาร์ ยูโร เป็นต้น และซื้อเงินบาทไทยเป็นศูนย์ (หรือต่ำมาก) ค่าเงินบาทจะไม่แข็งค่าเพิ่มขึ้น) ก็จะเรียบง่ายมาก

Advertisement

กล่าวคือ ธปท.สามารถจูงใจกลุ่มผู้ส่งออกขนาดใหญ่นำฝากเงินรายได้ (ส่วนหนึ่งของกลุ่มรวมแล้วเท่ากับ) ในส่วนที่เกินดุลฯ มาฝากไว้ใน FCD (Foreign Currency deposit) เฉลี่ยเดือนละ 2,500 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 75,000 ล้านบาท) โดยให้ Incentive แก่ผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกเป็นดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือน (ซึ่งเงินตราต่างประเทศที่ฝากในบัญชี FCD ไม่ถือเป็นเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ) และให้ธนาคารไทยผู้รับฝากอนุมัติเงินกู้เป็นเงินสกุลบาท ณ อัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้น โดยทางธนาคารผู้รับฝากสามารถคัดเลือกลูกค้าที่มีเครดิตได้ตามต้องการ

ดังนั้น ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินการนี้ก็คืออัตราดอกเบี้ยเงินกู้ (เช่นที่ MRR+0) บวกกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 12 เดือนเท่านั้น ซึ่งเป็นดอกเบี้ยเฉลี่ยรวมในปีแรกเท่ากับ (75,000*12*(6.870%+1%))/2 = 35,415 ล้านบาท และให้ธนาคารผู้รับฝากถือเงินสกุลต่างประเทศที่รับฝากไว้นั้นเป็นทรัพย์สินค้ำประกัน และอนุมัติวงเงินกู้เป็นสกุลเงินบาท ณ อัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้น บนสมมุติฐานของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ว่าหากดุลบัญชีเงินสะพัดไม่เกินดุลอย่างต่อเนื่องเงินบาทจะไม่แข็งค่า

การดำเนินการเช่นนี้ย่อมสามารถยับยั้งการแข็งค่าของเงินบาทได้โดยสิ้นเชิง โดยให้ ธปท.เป็นเจ้าภาพผู้ออกค่าดอกเบี้ยเงินฝาก และดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าวตลอดระยะเวลากู้ ซึ่งเป็นจำนวน 35,415 ล้านบาทในปีแรก และเมื่อใดที่ได้ใช้เงินดอลลาร์ที่นำมาฝาก จะด้วยความต้องการของภาครัฐ หรือเอกชนก็ดี การคิดดอกเบี้ยนี้ก็ถือเป็นอันสิ้นสุด (โดยองค์กรผู้ลงทุนนำฝากเงินบาทเป็นมูลค่าเท่าค่าเงินตราต่างประเทศที่จะนำไปใช้ลงทุนในต่างประเทศในอัตราแลกเปลี่ยนเดิม คล้ายการปลดจำนองสินทรัพย์ค้ำประกันนั่นเอง)

กล่าวอีกนัยหนึ่ง เงินค่าดอกเบี้ยจำนวน 35,415 ล้านบาทนี้ คือเงินที่ใช้ในการประวิงเวลาในการหาโครงการลงทุนขนาดใหญ่ วงเงินทั้งสิ้น ประมาณ 900,000 ล้านบาทในหนึ่งปี โดยไม่ก่อปัญหาค่าเงินบาทแข็งนั่นเอง ทั้งนี้ หากภาครัฐและเอกชนสามารถพัฒนาโครงการลงทุนในต่างประเทศได้แบบปีชนปี จะเสียค่าใช้จ่ายต่อ 3 ปีเท่ากับ 106,245 ล้านบาท และต้องถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง เพราะถึงแม้ว่าจะต้องการใช้เวลา 2 ปี ซึ่งค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยจะถือเป็น 3 เท่าในปีที่ 2 หรือ 3 ปี (กรณีที่ไม่สามารถหาโครงการลงทุนได้เลยตลอด 3 ปี) โดยค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยเพิ่มเป็น 5 เท่า ในปีที่ 3 รวมดอกเบี้ยทั้งสิ้น ทั้ง 3 ปี เท่ากับ 318,735 ล้านบาท ก็ยังคุ้มค่ากว่าการดำเนินการแทรกแซงค่าเงินบาทของ ธปท.ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ที่ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 250,000 ล้านบาท แต่เงินบาทก็ยังคงแข็งค่า ซึ่งทำให้กลุ่มธุรกิจส่งออกสูญเสียรายได้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจรวมแล้วประมาณ 3 ล้านล้านบาท

ซึ่งหากการดำเนินการดังกล่าวข้างต้นเกิดผลตามที่ประสงค์ คือทำให้เงินบาทยุติการแข็งค่า กล่าวคือ สมมุติฐานที่ว่า การที่เงินบาทแข็งค่าจะเกิดจากสาเหตุเพียงเพราะดุลบัญชีเงินสะพัดเป็นบวกอย่างต่อเนื่องเท่านั้น เป็นจริง ถือได้ว่าการแทรกแซงค่าเงินบาทที่ผ่านมาของ ธปท.ตลอดระยะเวลาเฉพาะ 3 ปีที่ผ่านมานี้ เป็นการแก้ปัญหาไม่ถูกวิธี และเป็นการดำเนินการที่ก่อให้เกิดการสูญเสียรายได้ และค่าใช้จ่ายที่ไม่สมควรต้องสูญเสียครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ชาติไทย

ในมุมกลับ หากสมมุติฐานดังกล่าว (เงินบาทแข็งค่าเพิ่มขึ้นเพราะดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวกอย่างต่อเนื่องเท่านั้น) ไม่เป็นจริง จะเป็นการแสดงถึงผลกระทบที่แท้จริงจากการไม่บริหารค่าเงินบาทตามสมควร เช่น การละเลยปราศจากมาตรการ และยุทธวิธีในการกำกับดูแลกระแสการเก็งกำไรค่าเงิน และไม่มีมาตรการที่เหมาะสมในการจัดการดุลบัญชีเดินสะพัด อันทำให้เงินบาทแข็งเกินพื้นฐานกระทั่งเป็นปัญหากระทบต่อรายได้ของกลุ่มธุรกิจส่งออก เฉพาะระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมากว่า 3 ล้านล้านบาท ซึ่งโดยปกติแล้ว เมื่อยอดการส่งออกหดตัว ยอดการนำเข้าก็หดตัวตาม แต่หากเป็นเช่นนี้ต่อเนื่องจะก่อให้เกิดพฤติกรรมร่วมกันรัดเข็มขัดลดรายจ่าย (ซึ่งอีกฝั่งก็เป็นรายได้ของผู้ประกอบการ และลูกจ้างทุกระดับชั้น) ทำให้เกิดเป็นวงจรลบที่เพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะถดถอย และวิกฤตเศรษฐกิจได้ในที่สุด

การที่เงินบาทแข็งค่าเกินพื้นฐานนั้น เกิดจากไม่เพียงเพราะดุลบัญชีเงินสะพัดเป็นบวกอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยการที่กระแสการเก็งกำไรค่าเงินเข้าซ้ำเติมอย่างมาก (ปริมาณเงินหมุนเวียนในตลาดเงินตราระหว่างประเทศที่ผูกกับเงินบาทไทย มากกว่า GDP ของประเทศไทยหลายเท่า) และหาก ธปท.และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องประสงค์ที่จะให้ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพมากขึ้น กล่าวคือแข็ง/อ่อนค่าสอดคล้องกับพื้นฐาน ก็สามารถจัดการได้ด้วยวิธีการใช้ Multi-tier Financial transaction (currency speculation) tax (คิดภาษีธุรกรรมการเงินที่เกี่ยวข้องกับการเก็งกำไรค่าเงิน) ซึ่งจะช่วยค่าเงินบาทไทยแปรผันตามพื้นฐาน เช่น การเกิน-ขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากขึ้น และสามารถบริหารจัดการได้โดยวิธีการที่นำเสนอข้างต้น

รัฐบาลและ ธปท.ควรพิจารณาเปรียบเทียบส่วนได้ส่วนเสียจากการใช้ Multi-tier financial transaction (currency speculation) tax นี้ ระหว่าง การสูญเสียรายได้ และความสามารถในการแข่งขันของภาคส่งออกและภาคเกษตรของประเทศ อันเป็นมูลค่าเพิ่มที่แท้จริง และส่งผลกระทบต่อประชาชนทุกระดับ โดยเฉพาะในระดับรากหญ้าที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ กับการลดลงของปริมาณหมุนเวียนในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตรา (ในกรณีของประเทศสวีเดน การคิดภาษี 0.01% ในตลาดอนุพันธ์ และ 0.1% ในตลาดทั่วไป ลดปริมาณการหมุนเวียนลง 40% ได้ยอดภาษี 0.38% ของ GDP) ซึ่งไม่เพียงแต่ไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มที่แท้จริงอันใด และผลประโยชน์ยังตกอยู่กับกลุ่มบุคคลจำกัด ซึ่งมุ่งหวังประโยชน์จากการเก็งกำไรกระทั่งส่งผลเสียหายร้ายแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ และหากประเทศไทยเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือภาวะวิกฤต ไม่เพียงแต่การเก็งกำไรทั้งในตลาดเงินและตลาดทุน จะมิได้มีส่วนช่วยเหลืออะไร แต่ยังจะซ้ำเติมให้ภาวการณ์ทางลบนั้นให้เลวร้ายลงไปอีกมาก และแก้ไขได้ยากยิ่งขึ้นอีกด้วย

ผู้เขียนมีความเชื่อมั่นว่าด้วยภูมิปัญญาของคณะผู้บริหารของ ธปท.ย่อมสามารถปรับมาตรการภาษีเก็งกำไรค่าเงินนี้โดยให้เกิดผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อตลาดหุ้นและตลาดทุนน้อยมากและลดการขาดทุนและศูนย์รายได้อันเกิดจากการแลกเปลี่ยนค่าเงินให้ต่ำที่สุดได้

กรณีที่รัฐบาลและ ธปท.ไม่ประสงค์ให้การบริหารค่าเงินบาทมีค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยสะสมเพิ่มขึ้นทุกเดือน ขอเรียนเสนอให้ ธปท.เปิดบัญชีรับฝากสกุลเงินต่างประเทศในส่วนที่เกินบัญชีดุลเดินสะพัดในต่างประเทศเพื่อให้กลุ่มผู้ส่งออกสามารถนำฝากเงินตราต่างประเทศส่วนเกินดุล (ประมาณ 2,500 ล้านดอลลาร์) ในบัญชีดังกล่าวได้โดยให้ ธปท.ฝากเงินสกุลบาทจำนวนประมาณ 75,000 ล้านบาท กับธนาคารพาณิชย์ไทยที่กลุ่มผู้ส่งออกขนาดใหญ่ดังกล่าวเปิดบัญชีอยู่ ทั้งนี้ เพื่อให้เมื่อผู้ส่งออกฝากเงินตราต่างประเทศเข้าบัญชี ธปท.ที่เปิดไว้เมื่อใด ก็สามารถรับโอนเงินสกุลบาทจากธนาคารพาณิชย์ได้ทันที และ ธปท.สามารถใช้เงินสกุลต่างประเทศที่ผู้ส่งออกนำมาไว้ในบัญชีสามารถลงทุนในสินทรัพย์ที่น่าเชื่อถือ เช่น ทองคำ/พันธบัตรต่างประเทศ เมื่อประสงค์ในทันทีได้เช่นกัน ซึ่งโดยภาพรวมการดำเนินการเช่นนี้ คือนโยบายการเงินแบบขยายตัวโดยการเพิ่มปริมาณเงินที่มีหลักทรัพย์ที่น่าเชื่อถือค้ำประกัน 100% (ในกรณีที่ ธปท.ไม่มีเงินสดเพียงพอ ให้พิมพ์ธนบัตรล่วงหน้าในยอดประมาณการดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งจะเป็นเงิน QE เพียงชั่วคราวขณะที่พักไว้ธนาคารพาณิชย์ไทย (contemporary QE) เพื่อจ่ายแก่ผู้ส่งออก)

ส่วนเงินสดที่เป็นบาทไทยซึ่งเดิมใช้แลกเปลี่ยนเงินสกุลต่างประเทศที่เป็นรายได้ของกลุ่มผู้ส่งออกในส่วนที่เกินดุลบัญชีเดินสะพัด ขอเรียนเสนอให้ใช้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลเพื่อเป็นงบประมาณในการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก เป็นต้น ต่อไป

ประเด็นที่สอง ได้แก่ เรื่องการเสนอให้ทำ QE ซึ่งเป้าประสงค์ที่แท้จริงคือการดำเนินกลยุทธ์ทางการเงิน โดยการสร้างความเข้าใจในเหตุการณ์ และความตระหนักถึงเหตุผลที่นำมาสร้างความชอบธรรมในการพิจารณานโยบาย QE ซึ่งถือเป็นยุทธวิธีทางการเงิน (เพียงการรับพิจารณา QE เป็นทางเลือกอย่างมีเหตุผล จะทำให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้) และถือเป็นการไม่ประมาท คือไม่รอให้วิกฤตเกิดขึ้นก่อนแล้วค่อยมาคิดแก้ไข เข้าทำนอง ไม่รอให้ต้นไม้ยืนต้นตายแล้วค่อยมารดน้ำ เพราะเมื่อวิกฤตเกิดขึ้นแล้วจะมีองค์กร/หน่วยธุรกิจประสบภาวะล้มละลายเป็นจำนวนมากอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งตอนนั้นการพิมพ์เงินแม้จำนวนมากมหาศาลก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้ ทั้งทางระบบธุรกิจทางกายภาพและทางขวัญกำลังใจของกลุ่มนักลงทุนและผู้ประกอบการ การซื้อพันธบัตรรัฐบาลเป็นการใช้เงิน QE ในการสร้างสภาพคล่อง และกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากซึ่งเป็นหนึ่งในแนวนโยบายหลักของคณะรัฐบาลชุดนี้อยู่แล้ว จึงควรต้องพิจารณาดำเนินการโดยเร็ว ทั้งนี้ เพราะโดยธรรมชาติของภาคธนาคาร เมื่อธุรกิจมีปัญหา สภาวะเศรษฐกิจถดถอย ไม่แน่นอน ก็มักไม่อนุมัติวงเงินกู้เพิ่ม หรือเพิ่มก็ด้วยอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขที่เข้มงวดกว่าปกติ มิพักต้องกล่าวถึง Soft loan ซึ่งเมื่อวิกฤตเกิดขึ้นจริงก็จะมีให้อย่างจำกัด ไม่เพียงพอกับหน่วยธุรกิจที่แม้มีศักยภาพแต่ประสบปัญหาทางการเงินอย่างหนัก (และมีแนวโน้มยาวนาน) ได้ ผู้เขียนเข้าใจถึงบทบาทของ ธปท.ในการพิจารณา คิดหน้าคิดหลัง ทั้งทีได้ทีเสีย ในการดำเนินการพิมพ์เงิน QE ว่าอาจจะกระทบกระเทือนภาพลักษณ์ของประเทศ หากแต่การรับพิจารณาดำเนินการพิมพ์เงิน QE ไว้ล่วงหน้า เพื่อว่าเมื่อมีปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจเริ่มปรากฏชัดเจนก็สามารถพิจารณาใช้ได้ทันท่วงที ย่อมจะดีกว่าการรอให้เกิดวิกฤตแล้วค่อยมาเริ่มดำเนินการพิจารณา แต่หากไม่เกิดวิกฤตก็ไม่จำเป็นต้องใช้ และกลับเป็นการเสริมสร้างความมั่นคงน่าเชื่อถือของประเทศไทย
ในระยะยาว

ในส่วนของยุทธศาสตร์ทางการเงิน เพื่อลดแรงกดดันและการคุกคาม ทางการเงินและการค้าของสหรัฐ ผู้เขียนขอเรียนเสนอให้ ธปท.และภาครัฐ ริเริ่มเสนอโครงงานธนาคารกลาง (ทั้งเพื่อสกุลเงินดิจิทัล) ของอาเซียน (Central bank (digital currency) of ASEAN) ซึ่งมี share digital banking platform ทั้งนี้ เพื่อใช้ในการร่วมมือกันประคับประคองแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจภายในของแต่ละประเทศ และการปกป้องการเอาเปรียบทางการเงินจากประเทศมหาอำนาจในอนาคต (การนำเงิน QE ที่พิมพ์ขึ้นโดยไม่มีสินทรัพย์ที่น่าเชื่อถือค้ำประกันมาแลกเปลี่ยนนำทรัพยากร และเงินตราของอาเซียนไปใช้ประโยชน์เสมือนว่ามีความชอบธรรม)

โดยธนาคารกลางอาเซียนควรจะมีบทบาทในการกำกับดูแล และประสานนโยบายทางการเงิน (ทั้ง fiat และ digital) และเงิน QE ของอาเซียน ได้แก่ ถ้าจะพัฒนา (digital) QE ควรทำเพื่อโครงงานอะไร จำนวนเท่าใด ระยะเวลาออกใช้ควรยาวนานเพียงใด และใช้คืนเมื่อใด เป็นต้น

ประเด็นที่สาม ได้แก่ เรื่อง Sovereign wealth fund ซึ่งประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น ไต้หวัน, เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ใช้อย่างประสบความสำเร็จได้นั้น สาเหตุสำคัญหนึ่งเกิดจากการวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนระหว่างประเทศ โดยมีการร่วมมือวิจัยและลงทุนในต่างประเทศของภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการอุดมศึกษาอย่างเป็นปึกแผ่นต่อเนื่องเป็นเวลานานนับสิบปี จึงสามารถใช้ Sovereign wealth fund ได้อย่างมีประสิทธิผล มีนัยสำคัญต่อเสถียรภาพของค่าเงินในประเทศที่พัฒนาแล้วเหล่านี้ได้ ซึ่งผู้เขียนต้องขอโอกาสในการเชิดชูเกียรติ และกล่าวสดุดีท่านรองนายกรัฐมนตรี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ มา ณ ที่นี้ด้วย กล่าวคือ ทั้งที่การชักจูงริเริ่มโครงการให้นักลงทุน และผู้ประกอบการให้นำเงินทุนจำนวนมากไปลงทุนต่างประเทศท่ามกลางภาวการณ์ที่เศรษฐกิจโลกถดถอยและผันผวน และธุรกิจส่วนใหญ่มียอดขาย และกำไรลดลงเป็นวาระที่เป็นไปได้ยากอย่างยิ่ง แต่ท่านก็ยังเสียสละ อดทนแบกรับภาระดังกล่าว เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะชนชั้นรากหญ้าที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด อันเป็นวิสัยของชนชั้นผู้นำประเทศ ผู้มีคุณธรรมและอุดมการณ์อันเข้มแข็งมั่นคง และสติปัญญาอันสุขุมลึกซึ้ง จึงจะกระทำได้ กล่าวให้เข้าใจโดยง่ายคือ ปัญหาที่มีผลกระทบถึงชะตากรรมของประเทศเป็นมูลค่าต่อเนื่องระดับหลักล้านล้านบาทเช่นนี้ ไม่มีทางที่จะแก้ไขได้โดยง่ายสะดวกดาย ปราศจากอุปสรรคความเสี่ยงใดๆ โดยแท้ที่จริงแล้ว ย่อมจะต้องมีอุปสรรคปัญหา ความเสี่ยงไม่แน่นอนอย่างหนักหน่วงในหลากหลายมิติ แต่ท่านก็ยินดีเสนอตัวเข้าแบกรับ ซึ่งลักษณาการเช่นนี้อาจเปรียบได้กับการที่ ฯพณฯ พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ได้ริเริ่มคณะกรรมการเพื่อส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อส่งเสริมสนับสนุนให้นักลงทุนต่างประเทศในยุคนั้นเข้ามาลงทุนในประเทศ กระทั่งสามารถยกระดับประเทศไทยให้พ้นจากฐานะประเทศด้อยพัฒนาได้

การแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทแข็งนี้ ย่อมต้องใช้ทั้งการแก้ไขเฉพาะหน้าและการแก้ไขในระยะยาว ทั้งนี้ หากเปรียบเทียบประเทศไทยกับคนป่วยที่มีอาการไข้ก็เป็นไข้ที่ขึ้นสูงใกล้สภาวะช็อก และอวัยวะภายในใกล้ทำงานล้มเหลวแล้ว จึงต้องระงับอาการไข้ก่อนแล้วจึงรักษาตามสมุฏฐานของโรค ซึ่งมักต้องใช้เวลานานในภายหลัง อุปมาเหมือนทันตแพทย์ย่อมไม่ถอนฟันในเวลาที่คนไข้เหงือกบวม (กลุ่มธุรกิจผู้ส่งออกโดยปกติแล้วย่อมไม่ลงทุนในเวลาที่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย กำไรหดตัว)

กล่าวอีกนัยหนึ่ง การพิจารณาแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจให้สามารถแก้ไขเปลี่ยนภาวการณ์ และยกระดับของอาชีพ ความเป็นอยู่ของประชาชน และกิจการของผู้ประกอบการไทยส่วนใหญ่ได้นั้นต้องรับฟังไตร่ตรอง ความคิดเห็นจากมุมมองของทุกภาคส่วน เช่น ความคิดเห็นของนักวิชาการ ซึ่งบางท่านก็เป็นมุมมองทางเศรษฐศาสตร์แบบอัตตาธิปไตย ที่เน้นการแก้ไขปัญหาเฉพาะประเด็น เฉพาะทางจากแนวคิดมุมมองและประสบการณ์ของตน บางท่านเป็นแบบโลกาธิปไตย ที่เน้นมุมมองเชิงมหภาคและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่มีประเทศที่พัฒนาแล้วเป็นต้นแบบ ซึ่งเน้นการพัฒนาเชิงระบบ ที่กลไกและหน่วยเศรษฐกิจมีสมรรถนะสูง หรือความคิดเห็นของสถาบัน เป็นเศรษฐศาสตร์แบบคณาธิปไตย ที่เน้นความมั่นคงปลอดภัยเป็นหลัก และความคิดเห็นของภาครัฐส่วนใหญ่เป็นแบบประชาธิปไตย ที่เน้นการช่วยเหลือประชาชนเป็นหลัก

จึงเห็นได้ว่าการรับพิจารณาเพียงความคิดเห็นจากมุมมองใดมุมมองหนึ่งเฉพาะด้าน ไม่เป็นการสะท้อนภาพรวมของความเป็นจริงอันเป็นประโยชน์รอบด้านอย่างยั่งยืนของประชาชน และผู้ประกอบการส่วนใหญ่ของประเทศได้ กล่าวคือเราต้องการแก้ไขภัยเศรษฐกิจเฉพาะหน้าที่กำลังจะมาถึงเพื่อประโยชน์แก่ประชาชนส่วนใหญ่อย่างเหมาะสม

ทั้งยังประสงค์ความมั่นคงยั่งยืนและการพัฒนาในระยะยาวไปพร้อมกัน การพิจารณาแก้ไขเศรษฐกิจของประเทศจากเพียงมุมมองใดมุมมองหนึ่งจึงเปรียบได้กับองค์ความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ ที่ไม่ (มีชีวิต หรือไม่นำไปสู่พฤติกรรมการใช้ชีวิตที่) สมบูรณ์ จึงไม่สามารถพัฒนาแก้ไขปัญหา ชี้นำประเทศไปสู่ภาวะที่เจริญเติบโตอย่างยั่งยืนตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ได้ เพราะเป็นมุมมองที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง และไม่เชื่อมโยงกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน และผู้ประกอบการส่วนใหญ่ในประเทศไทย

ผู้นำประเทศและองค์กรสำคัญของประเทศจึงต้องรวบรวมภูมิปัญญา ความรู้และทักษะจากทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องมาช่วยตีโจทย์ปัญหาของประเทศ (ภูมิภาค และของโลก) แต่ละประเด็นให้ครอบคลุม แม่นยำ ชัดเจน มีหลักการถูกต้องและอุดมการณ์ที่มั่นคง จึงจะสามารถตัดสินใจด้วยกรอบความคิดเห็นที่เหมาะสมกับภาวการณ์ได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image