สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ต้นกำเนิดจาก เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย์ ประเทศจีน ที่ได้ระบาดลุกลามไปในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย
กลายเป็นพายุลูกล่าสุดที่โหมกระหน่ำใส่รัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต่อเนื่องจากกรณีของฝุ่น PM2.5 ที่รัฐบาลถูกตำหนิว่ามีความล่าช้าในการเข้ามาแก้ไขปัญหา ไร้มาตรการที่เป็นรูปธรรม
กรณีของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ“ไวรัสอู่ฮั่น” การทำงานของรัฐบาลทำให้ประชาชนเกิดความไม่มั่นใจว่ารัฐบาลจะรับมือกับการแพร่ระบาดได้หรือไม่
แม้ “บิ๊กตู่” จะออกแถลงชี้แจงสถานการณ์ การตั้งศูนย์ปฏิบัติการภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุข ระดับสูงสุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่น พร้อมยืนยันว่า “คุมสถานการณ์ได้ 100%”
แต่กระนั้นมาตรการต่างๆ เช่น การติดเครื่องเทอร์โมสแกนตรวจเช็กนักท่องเที่ยวจากจีนที่สนามบิน ไม่ได้สร้างความมั่นใจแก่ประชาชนมากนัก
ยิ่งสถานการณ์ล่าสุดที่ทางกระทรวงสาธารณสุขออกมาแถลงเมื่อวันที่ 31 มกราคม ที่มียอดผู้ป่วยติดเชื้อไวรัส รวม 19 คน โดยพบการแพร่ของไวรัสจากคนสู่คนเป็นรายแรกของไทย กรณีพบคนขับแท็กซี่วัย 50 ปี ติดไวรัสโคโรนาจากนักท่องเที่ยวชาวจีน
สร้างความกังวลแก่ประชาชนมากขึ้นกว่าเดิม
ขณะที่ผลสำรวจของสำนักวิจัยซูเปอร์โพลที่ออกมาสัปดาห์ก่อน ร้อยละ 63.9 ประชาชนยังมีความกังวลปัญหาสุขภาพโรคระบาดโคโรนาจากจีน ปัญหาฝุ่น PM2.5 มากที่สุด
การทำงานของรัฐบาลถูกสะท้อนจากหลายฝ่ายว่ามีความล่าช้า จนถูกนำไปเปรียบเทียบกับผลงานของอดีตนายกรัฐมนตรีที่ผ่านมาในลักษณะของเหตุการณ์ที่ใกล้เคียงกัน
ในเรื่องการส่งเครื่องบินไปอพยพคนไทยจากเมือง “อู่ฮั่น” ที่ยังล่าช้า
แม้รัฐบาลจะออกมาชี้แจงว่าต้องรอรัฐบาลจีนอนุญาตก่อน
แต่ก็เกิดคำถามว่าทำไมรัฐบาลของประเทศอื่นสามารถอพยพพลเมืองของตนเองออกจากเมืองอู่ฮั่นได้เร็วกว่าไทย
ในขณะที่มาตรการคุมเข้มนักท่องเที่ยวจีนเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสอู่ฮั่น ถูกเปรียบเทียบกับหลายประเทศที่ห้ามนักท่องเที่ยวจีนเข้าประเทศ การจำกัดในเรื่องวีซ่า อย่างเลี่ยงไม่ได้
วันวิชิต บุญโปร่ง คณะรัฐศาสตร์ ม.รังสิต สะท้อนภาพการทำงานของรัฐบาลได้ค่อนข้างชัดเจนว่า “ปัญหาไวรัสโคโรนา 2019 ส่อให้เห็นความร่อแร่จากการประสานงานของกระทรวงที่สังกัดโดยพรรคร่วมรัฐบาล ที่ผ่านมาคือทำงานแยกส่วน ยังไม่เห็นบูรณาการ
ตั้งแต่เกิดกรณีไวรัสโคโรนา จะเห็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรัฐมนตรีว่าการ สธ. เรียกประชุมหน่วยงานที่ตนเองกำกับ คือ กระทรวงคมนาคม กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเท่านั้นถือว่ามีนัยยะ เพราะสามารถกำกับและสั่งการได้เฉพาะกระทรวงที่มีอำนาจเท่านั้น
จะเห็นว่าการทำงานไม่ได้เป็นภาพรวม แม้นายกฯ จะแถลงเพื่อสร้างความเชื่อมั่น”
ตราบใดที่รัฐบาลยังต้วมเตี้ยม ขาดความเด็ดขาดแก้ปัญหาที่ถาโถมเข้ามา ก็คงยากที่เรียกศรัทธาจากประชาชน
นายด่าน