โดนัลด์ ทรัมป์ หลุดพ้นการถอดถอน : โดย ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช
การลงมติของวุฒิสภาสหรัฐเกี่ยวกับการ “ไม่ถอดถอน” โดนัลด์ ทรัมป์ ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ ตามเวลาท้องถิ่นสหรัฐ นั้น
เป็นเรื่องที่ไม่เกินความคาดหมาย
ก็เพราะสัดส่วนของวุฒิสมาชิกระหว่างพรรครีพับลิกันกับพรรคฝ่ายค้าน
ชัดเจนยิ่ง ชัดเจนที่สัดส่วนคือ “ธงคำตอบ”
บัดนี้ ญัตติถอดถอน โดนัลด์ ทรัมป์ จึงเป็นเวลาที่ต้องใส่เครื่องหมาย “full stop”
สาเหตุอันนำมาซึ่งการถอดถอนในครั้งนี้คือ สายข่าวความมั่นคงสหรัฐกล่าวหาว่าโดนัลด์ ทรัมป์ใช้อำนาจหน้าที่กระทำละเมิด โดยอ้างว่า เมื่อเดือนกรกฎาคม 2019 ทรัมป์ได้โทรศัพท์ข่มขู่กดดัน “โวโลดีมีร์ เซเลนสกี้” ประธานาธิบดียูเครนให้ทำการตรวจสอบเกี่ยวกับบุตรชายของ “โจ ไบเดน” ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีว่ามีพฤติกรรมทุจริตในประเทศยูเครนหรือไม่ ทั้งนี้ได้ระงับเงินช่วยเหลือทางการทหารไว้ก่อน จนกว่าได้รับผลการตรวจสอบ
การลงมติเกี่ยวกับการถอดถอนมีอยู่ 2 ญัตติ
1.ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ
2.ขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของสภาคองเกรส
ผลการลงมติญัตติที่ 1 เห็นชอบ 48 เสียง ไม่เห็นชอบ 52 เสียง
ผลการลงมติญัตติที่ 2 เห็นชอบ 47 เสียง ไม่เห็นชอบ 53 เสียง
การลงมติญัตติที่ 2 เป็นไปตามสัดส่วนของพรรคคือ
พรรคฝ่ายค้าน 47 เสียง พรรครีพับลิกัน 53 เสียง
สำหรับญัตติที่ 1 เห็นชอบ 48 เสียง เป็นของพรรคฝ่ายค้าน 47 เสียง อีก 1 เสียงคือ “มิตต์ รอมนีย์” จากพรรครีพับลิกัน ส่วนคะแนนเสียงไม่เห็นชอบ 52 เสียงเป็นของพรรครีพับลิกัน
“มิตต์ รอมนีย์” คือนักการเมืองสอบตกใน Primary vote เพื่อชิงเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกันในการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2016 ซึ่งถือเป็นไม้เบื่อไม้เมากับโดนัลด์ ทรัมป์
จึงไม่แปลกที่ “แตกแถว” ไปกับพรรคฝ่ายค้าน
อีกประการ 1 การกระทำของ “มิตต์ รอมนีย์” แม้ไม่กระทบถึงผลแห่งการลงมติ แต่สะท้อนให้เห็นว่า พฤติกรรมของทรัมป์เป็นการอันมิชอบ เพราะทรัมป์อาศัยอำนาจตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนในทางการเมือง ตัดงบช่วยเหลือทางการทหาร เป็นการบั่นทอนกำลังด้านกลาโหมของยูเครนที่จะต่อต้านรัสเซีย อันเป็นการทำลายผลประโยชน์ของสหรัฐ
กรณีเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของพรรครีพับลิกันด้วย
หลังการลงมติ “มิตซ์ แมคคอนแนล” ผู้นำเสียงข้างมากของพรรครีพับลิกันในวุฒิสภากล่าวว่า พรรคเดโมแครตหวังอาศัยผลการลงมติถอดถอนเพื่อให้ได้ชัยชนะในการเลือกตั้งทั่วไป แต่ผลการลงมติกลับสะท้อนให้เห็นว่า เป็นความพ่ายแพ้ทางการเมืองครั้ง 1 ของพรรคเดโมแครต การยื่นญัตติถอดถอนของพวกเขา จึงเป็นความผิดพลาด
ส่วนพรรคเดโมแครตปฏิเสธไม่ยอมรับการลงมติ โดย “แนนซี เพโลซี” ประธานสภาผู้แทนราษฎรวิพากษ์ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ และพรรครีพับลิกันบังอาจละเมิดกฎหมาย เธอกล่าวว่า การไต่สวนของวุฒิสภาปราศจากพยานบุคคล เอกสารและหลักฐานมานำสืบ จึงไม่ถือว่าเป็นการไต่สวน และยังพรรณนาว่า พฤติกรรมของคนรีพับลิกันเป็นการอันขัดต่อรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้เพื่อสนับสนุนให้โดนัลด์ ทรัมป์กระทำการอันคุกคามต่อประชาธิปไตยของอเมริกันชน
อย่างไรก็ตาม การยื่นญัตติถอดถอนโดนัลด์ ทรัมป์ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการ “ขาดทุน” ทางการเมืองของพรรคเดโมแครต กล่าวคือ นอกจากกระบวนการถอดถอนไม่ประสบความสำเร็จ กลับกลายเป็นการสร้างโอกาสให้พรรครีพับลิกันกล่าวหาว่า ถูกพรรคเดโมแครตคุกคาม
จึงไม่แปลกที่ทรัมป์ลงในทวิตเตอร์ว่า “สหรัฐชนะการถอดถอนหลอกลวง”
ต่อแต่นี้ไป โดนัลด์ ทรัมป์ คงจะต้องชูประเด็นวุฒิสภาตัดสิน “ไม่ผิด” คือชัยชนะ เพื่อยกระดับการสนับสนุนจากผู้ใช้สิทธิ เพื่อเดินหน้าทำงานหาเสียงต่อไป
หากเปรียบเทียบกับเมื่อ 9 เดือนก่อน แนวโน้มการครองตำแหน่งประธานาธิบดีอีก 1 สมัย ขึ้นสูงมากทีเดียว จากการสำรวจประชามติของ “United States Gallup polls” เมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ปรากฏว่า
1 พอใจผลงานโดนัลด์ ทรัมป์ ร้อยละ 49 ทำลายสถิติ
1 การสนับสนุนในพรรคร้อยละ 51 เทียบกับเดือนกันยายน 2019 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8
ก่อนการลงมติ ทรัมป์ได้มีการแถลงผลงานระหว่างการดำรงตำแหน่งในวุฒิสภา สรุปพอเป็นสังเขปว่า “สหรัฐได้รับชัยชนะจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐระดับหนึ่ง ประเทศมีความก้าวหน้าความเจริญรุ่งเรือง อัตราคนตกงานต่ำสุดในรอบครึ่งศตวรรษ สร้างงานให้แก่อเมริกันชนถึง 7 ล้านตำแหน่ง เพิ่มรายได้ของคนทำงานในโรงงาน และคนระดับกลาง…”
คนรีพับลิกันชูไม้ชูมือโห่ร้องด้วยความดีใจพร้อมกับคำว่า “อยู่ต่ออีก 4 ปี”
ในขณะที่คนเดโมแครต “มิดอิมซิม”
บัดนี้ เป็นมงคลฤกษ์แล้วสำหรับการเดินเครื่องหาเสียงของโดนัลด์ ทรัมป์ คาดว่าเป้าหมายหลักคือคนทำงานในสำนักงาน คนงานในโรงงาน และครอบครัวระดับกลาง
ปฏิเสธมิได้ว่า เวลา 3 ปีที่ผ่านมา ผลงานที่โดดเด่นของทรัมป์คือ
อัตราคนตกงานต่ำสุดเป็นประวัติการณ์
ประวัติศาสตร์อเมริกันบอกเราว่า ไม่ว่าประธานาธิบดีคนใดสามารถทำให้อัตราการตกงานต่ำ โอกาสที่จะครองตำแหน่งอีก 1 สมัยนั้น ไม่อยู่ไกลเกินเอื้อม
โดนัลด์ ทรัมป์ทำได้ และได้ทำแล้ว
ฉะนั้น โอกาสที่ทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งวันที่ 3 พฤศจิกายน 2020 จึงค่อนข้างสูง
การครองตำแหน่งประธานาธิบดีอีก 1 สมัยของโดนัลด์ ทรัมป์
จึงมิใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช