เสียงชมขจร… เมื่อไทยร่วมมือกับจีนต้าน‘ภัยพิบัติ’แข็งขัน : โดย ไพรัช วรปาณิ

จากปรากฏการณ์ เกิดเชื้อโรค “ไวรัสโคโรน่า” ระบาดคร่าชีวิตชาว ‘อู่ฮั่น’ และ ‘หูเป่ย์’ ของจีนไปจำนวนมาก และแพร่กระจายเชื้อร้ายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว จนกระทบต่อความสงบสุขของประชากร และเศรษฐกิจของประเทศทั่วโลก นับเป็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว และเศร้าสลดในขณะนี้
รัฐบาลจีนโดยการนำของ สี จิ้นผิง ผู้นำที่ยิ่งใหญ่และมีวิสัยทัศน์กว้างไกล ได้อาศัยระบอบการปกครองแบบสังคมนิยมพิเศษ อันเป็นจุดแข็งของการบริหารจัดการต่างระดมพละกำลังรวมพลังชาวจีนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพื่อต่อสู้กับภัยพิบัติในครั้งนี้ อย่างเต็มอัตราศึก

ทั้งนี้ โดยการประสานความร่วมมือกับมวลประชาราษฎร์ชาวจีนทั่วประเทศ รวมพลังสร้างกำแพงเมืองจีนขึ้นใหม่ เพื่อสู้ศึกกับภัยร้ายอย่างเข้มแข็ง จนทำให้เกิดความรู้สึกเสมือนลงเรือลำเดียวกัน ด้วยการใช้ระบบการป้องกันทางวิทยาศาสตร์อันทันสมัย เพื่อสยบโรคร้ายให้ราบคาบในที่สุด

จากการวิเคราะห์ของหน่วยงานอนามัยระดับโลก ได้ประเมินไว้ว่า ท่ามกลางภัยร้ายที่กำลังระบาด รัฐบาลจีนได้ดำเนินการตอบโต้ต่อสู้กับปรากฏการณ์โรคระบาดครั้งนี้ อย่างหนักหน่วง รวดเร็ว ทันท่วงที จนได้รับคำชมเชยจากชาวโลกทั่วสารทิศ

อีกมุมมองหนึ่งจากนักวิเคราะห์ชาวต่างประเทศผู้รักความเป็นธรรม ต่างได้แสดงความเห็นว่า ระบอบการปกครองคอมมิวนิสต์ในรูปแบบพิเศษของจีนนั้น มีจุดเด่นและจุดแข็ง เพียงพอ ที่จะทำสงครามกับเจ้าตัวร้าย “โคโรนา” แน่นอน และเป็นที่ยอมรับของสังคมโลกว่า จีนมีศักยภาพเพียบพร้อมในการสู้รบปรบมือกับโรคร้ายจนได้รับชัยชนะในที่สุด อีกทั้งต่างได้ให้ความเข้าใจและเห็นใจในความยากลำบากของการต่อสู้กับไวรัส “โคโรนา” ครั้งนี้ ซึ่งเป็นเชื้อโรคร้ายชนิดใหม่ที่ไม่เคยอุบัติมาก่อน จึงทำให้ประชาชนชาวจีนเกิดกำลังใจและความมั่นใจในการสู้ศึกกับภัยพิบัติร้ายดังกล่าว อย่างไม่ท้อถอย

Advertisement

สิ่งที่น่าจับตาคือ หลังจากเกิดภัยพิบัติโรคร้ายดังกล่าว “สี จิ้นผิง” ผู้นำจีนได้ยืนหยัดประกาศศักดา พร้อมกับการดำเนินการบัญชาการสู้รบกับโรคร้ายด้วยตนเอง ในขณะเดียวกันได้มอบหมายให้ “หลี่ เค่อเฉียง” นายกรัฐมนตรีของจีนเดินทางไปสังเกตการณ์ที่ อู่ฮั่น สถานอุบัติโรคอย่างใกล้ชิดทันที เพื่อเพิ่มพูนกำลังใจและความมั่นใจในต่อสู้กับโรคร้ายของประชาชน อันเป็นการแสดงให้เห็นว่า จีนเน้นความปลอดภัย และสุขภาพอนามัยของเหล่าประชาชนชาวจีน ต้องมาก่อนเป็นที่หนึ่งนั่นเอง

ด้วยเหตุที่ผู้นำระดับสูงของจีน มีเอกภาพในการตัดสินใจ จึงทำให้การดำเนินการตอบโต้โรคร้ายแบบ “ปูพรม” ได้อย่างรวดเร็วทันเหตุการณ์ จึงยังผลให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลกับการสู้รบกับโรคร้ายระดับหนึ่ง

การปลุกระดมพลให้ประชาชนร่วมแรงร่วมใจป้องกันโรคภัย-สุขภาพ ทางออนไลน์แบบปูพรมจนประสบผลนั้น ได้บ่งบอกถึงศักยภาพ การพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ชาวประชาของจีนให้เห็นเด่นชัดยิ่งขึ้น
นับได้ว่า ความพยายามต่อสู้กับไวรัส “โคโรนา” ในทุกวินาทีของประชาชนจีนในครั้งนี้ นอกจากเป็นการทำสงครามกับโรคร้าย เพื่อสุขภาพของชาวจีนเองแล้ว ยังเป็นการร่วมปกป้องภัยพิบัติสำหรับชาวโลกในอนาคตอีกด้วย
จีน อาศัยวัฒนธรรมอันเก่าแก่ที่มีความสามัคคี ทรหดอดทน พาให้เกิดความมั่นใจเต็มร้อยว่า สุดท้ายแล้ว จะสามารถเอาชนะภัยร้ายโคโรนา อย่างแน่นอน

Advertisement

แม้ชาวจีนมีความมั่นใจจะเอาชนะความเลวร้ายเมืองใน ‘อู่ฮั่น’ ครั้งนี้ก็ตาม แต่…น่าเศร้าที่เทศกาลตรุษจีนปีนี้ ผู้คนในเมืองต่างๆ ของจีนเงียบเหงาเศร้าสร้อย ไม่สนุกร่าเริงดั่งเช่นทุกปี …ถึงกับทำให้ประมุขผู้ยิ่งใหญ่และชาญฉลาดของจีน “สี จิ้นผิง” ต้องออกมารำพันด้วยบทพรรณาอันลึกซึ้ง ฟังแล้วได้อารมณ์และไพเราะจับใจ ว่า…

“ปีนี้เงียบจริงๆ
เงียบเหงา จนอาณาบริเวณ ไร้ซึ่งเสียงนก เสียงกา ไร้ซึ่งเสียงกึกก้องกังวาน งานฉลองของพลุไฟ แว่วเพียง ประปราย แผ่วเบา จากแดนไกล

ปีนี้เงียบจริงๆ
เงียบจนนครโบราณ อู่ฮั่นแห่งนี้ที่คุ้นเคย เสมือนอยู่ในสภาพสลบไสล ไม่ตื่น เงียบจนไม่เหมือน วันอำลาปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ ไม่ได้ยินแม้คลื่นเสียงคึกคักหรรษาของผู้คนยามเทศกาลมาถึง

ปีนี้เงียบจริงๆ
สวนสนุก ศาลเจ้า แอโรบิกกลางแจ้ง เลิกจัดงาน งดปักธูป ไหว้เจ้า ไม่รบกวนผีสางเทวดา
เทพเจ้าทุกองค์ต่างสิ้นฤทธิ์ หมดอานุภาพ

ปีนี้เงียบจริงๆ
เว็บเน็ตเชื่อมโยงสามเมืองแห่งอู่ฮั่น ธารน้ำสดใสตระการตา ครึ่งหนึ่งเป็นขุนเขา มิตรสหาย ร้อยล้านพันหมื่นทุกข์ระทม ขมขื่น
ชะโงกโหยหากระเรียนเหลืองกลับมา สายน้ำมารดาฉางเจียง คาดหวังพึ่งพา ปกปักรักษา ปลดทุกข์ เภทภัย คงไว้ซึ่งชีวามวลหมู่ชาวประชา

ปีนี้เงียบจริงๆ
เราท่านต่างเฝ้า ปกบ้านป้องเมือง ไร้ซึ่งสุขสันต์รื่นรมย์ สู่ราตรีกาลของฤดูใหม่ โรงพยาบาลต่างต่อแถวยาวเหยียด นักรบเสื้อขาวชุดรักษาพยาบาล ต้องช่วงชิงช่องว่างของเวลา รับประทานอาหารเย็นฉลองค่ำคืนแห่งปีใหม่ด้วย เส้นหมี่สำเร็จรูป

ปีนี้เงียบจริงๆ
เงียบจนต้องไตร่ตรอง ครุ่นคิด ปีนี้ชั่งทุกข์ระทมขมขื่น ชนชาติเผ่าพันธุ์จีน จะไม่ยอมสยบ จะสู้อย่างห้าวหาญ เปรียบดั่งคุนหลุน ขุนเขาอันยิ่งใหญ่ เกลียวคลื่นอันพลุ่งพล่านแห่งแม่น้ำฮวงโห เป็นประจักษ์พยาน

ปีนี้เงียบจริงๆ
ภายใต้ความสงบเงียบ ไม่มีกลิ่นควันดินระเบิดจากสงคราม กลับเผชิญหน้ากับโรคร้ายอันบ้าระห่ำ ในสถานการณ์ ที่แพร่ระบาด พวกเราเข้าปะทะ ต่อต้าน ต่อสู้ พวกเราพี่น้องชายหญิง เหมือนลงเรือลำเดียวกันช่วยกันสร้างกำแพงเมืองจีนขึ้นใหม่ เรามั่นใจต้องรบชนะ เราอธิษฐานให้สันติสุขจงมีต่อทุกคน ดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้า ความหวังอันยิ่งใหญ่ของคนจีน จะต้องพบความสำเร็จ

ภายหลัง ความมืดมิดจากพายุฝนอย่างหนัก ย่อมตามมาด้วยสีสันของสายรุ้งที่สวยงาม สายรุ้งที่สวยงาม”

ล่าสุดทราบว่า จีนได้พบหลักฐานสำคัญ กล่าวคือ สาเหตุส่วนหนึ่งของการเกิดภัยพิบัติครั้งนี้ ทำให้จีนต้องเผชิญหน้ากับ “สงครามพิษชีวภาพ” ซึ่งเป็นการกระทำของมนุษย์ โดยใช้เป็นอาวุธทางชีวภาพ ซึ่งมีความร้ายแรงยิ่งกว่า “สงครามนิวเคลียร์หลายเท่านั้น ที่แท้มาจาก อริศัตรู ที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด เป็นผู้ปล่อยออกมาทำลายล้างประเทศจีน เพื่อสกัดความเจริญเติบใหญ่ของประเทศมิให้เป็นมหาอำนาจ อย่างน่าประณามนั่นเอง

ทั้งนี้ คงต้องรอกาลเวลาเป็นข้อพิสูจน์ ว่าข้อจริงเท็จเป็นอย่างไร? ถ้าจริง ก็เชื่อแน่ว่า “สี จิ้นผิง” ผู้นำจีนผู้เด็ดเดี่ยว เข้มแข็ง คงออกมาตรการตอบโต้ต่ออริศัตรูผู้ก่อการร้าย อย่างสาสมต่อไป อย่างไม่ลดละเป็นแน่…ว่าไหม?

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนมองว่า การที่รัฐบาลไทย ภายใต้การนำของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขได้แสดงบทบาทในการให้ความร่วมมือกับประเทศจีนอย่างดี ระดับหนึ่ง ตลอดจนบรรดาสมาคมชาวจีนโพ้นทะเลต่างๆ ในประเทศไทยหลายแห่ง เมื่อได้ทราบข่าว เกิดภัยไวรัส “โคโรนา” คร่าชีวิตคนจีนใน “อู่ฮั่น” และ “หูเป่ย์” ในจีนเป็นจำนวนมาก และเกิดความเดือดร้อนแสนสาหัส ที่ต้องตกเป็นเหยื่อโรคร้าย ก็ได้แสดงน้ำใจ ด้วยการร่วมมือร่วมใจต่อต้านภัยร้าย อย่างแข็งขัน ทั้งด้านการแพทย์และการอนามัย ด้วยการดำเนินการช่วยเหลือจัดส่งเงินทอง และสิ่งของไปช่วยเหลือผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากในเมือง ‘อู่ฮั่น’ อย่างล้นหลาม …น่าชื่นชม

การแสดงบทบาทของรัฐบาล และสมาคมจีนในไทยครั้งนี้ ได้รับคำชื่นชมทั่วหล้า กระทั่งรัฐบาลจีนเองก็ได้มีหนังสืออย่างเป็นทางการมากล่าวชมว่า “ไทย…คือมิตรแท้ในยามยากอันเก่าแก่ของจีน” จนเป็นข่าวดังกระฉ่อนไปทั่วโลก …ซึ่งต้องขอปรบมือให้ ณ ที่นี้ด้วย

ไพรัช วรปาณิ
กรรมการอัยการผู้ทรงคุณวุฒิ

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่เพิ่มเพื่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image