ผู้เขียน | สมหมาย ปาริจฉัตต์ |
---|
นายปิยบุตร แสงกนกกุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ เสนอญัตติเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาแนวทางต้านการปฏิวัติ ล้มล้างรัฐธรรมนูญ
สมาชิกสภาผู้แทนฯอภิปรายกันครึ่งค่อนวัน พรรคฝ่ายค้านสนับสนุนเต็มที่ ขณะที่ฝ่ายรัฐบาลคัดค้านสุดเหวี่ยง ยังจบไม่ลงจนต้องว่ากันต่อสัปดาห์นี้
ผลจะออกมาอย่างไร จะซ้ำรอยเดิมเมื่อครั้งเสนอญัตติให้ตั้งกรรมาธิการวิสามัญศึกษาผลกระทบจากประกาศคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ถูก ส.ส.รัฐบาลคว่ำจนญัตติตกไปหรือไม่ เดาได้ไม่ยาก โอกาสถูกคว่ำซ้ำสองเป็นไปได้แน่
เพราะการเมืองเรื่องตัวเลข ถือเอาจำนวนมือ ใครมีมากกว่าเป็นหลัก ความจริง ความรู้และปัญญา มาทีหลัง เป็นเรื่องของพวกโลกสวย ก็เท่านั้นเอง
ครับ สัตบุรุษพูดว่า การเมืองมีสองประเภท การเมืองที่มีคุณธรรมกับไร้คุณธรรม การเมืองของผู้กดขี่กับการเมืองของผู้ถูกกดขี่ จะชอบวลีไหนก็แล้วแต่ สรุปคือ การเมืองด้านมืด กับด้านสว่าง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนถึงด้านมืดของการเมืองอีกครั้ง มองแต่ประโยชน์เฉพาะหน้าระยะสั้น มองมุมลบว่าผู้เสนอมีวาระซ่อนเร้น เป็นเกมการเมืองต้องการบั่นทอนเครดิตรัฐบาลและสถาบันกองทัพ เลยยึดกติกา มารยาทเพื่อความอยู่รอดเป็นตัวตั้งในการตัดสินใจ
แทนที่จะมองมุมบบวก ด้วยใจเป็นธรรม เป็นกลางๆ ถือประโยชน์ส่วนรวมระยะยาวเป็นหลัก วางจุดยืนความเชื่อทางการเมืองไว้แล้วร่วมกันแสวงหาความจริง หลักฐานทั้งเอกสาร บุคคล ที่ถูกต้องครบถ้วน ก่อนได้บทสรุป เราจะป้องกันการใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหาความขัดแย้งได้อย่างไร
เป็นงานทางวิชาการที่ทำให้เกิดความงอกงามทางปัญญา เป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์ เป็นบทเรียน และเป็นเครื่องมือเพื่อเดินไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ต่อไป
อย่างน้อยที่สุด ทำให้นิยามคำว่า วัฒนธรรมทางการเมืองแบบสากล กับแบบไทยๆ ชัดเจนขึ้น
ฟังการอภิปรายของ ส.ส.หลายคนโดยเฉพาะฟากรัฐบาล ค้านไม่เต็มปากเต็มคำ คำอภิปรายย้อนแย้งในตัวเอง ตอกย้ำอยู่แต่ประเด็นเดียว กรรมาธิการคณะนี้ตั้งไปก็ไม่เกิดประโยชน์ ไม่สามารถป้องกันได้ แต่ถ้าจะตั้งก็ควรมีความเป็นกลาง มองทุกฝ่ายด้วยความเข้าใจ โดยเฉพาะกองทัพ ทำไมถึงต้องปฏิวัติ
ขณะเดียวกันก็มีข้อเสนอ ความคิดดีๆ มากมาย ทั้งฝ่ายสนับสนุนและฝ่ายค้าน ทำให้เห็นกรอบ ขอบเขตการศึกษาที่กว้างขวางลึกซึ้งรอบด้านขึ้นไปอีก
ส.ส.รัฐบาลเอง เสนอถึงขั้นให้ศึกษาปัจจัยทั้งภายในและภายนอก ประเทศมหาอำนาจระดับโลกที่เข้ามามีบทบาท อิทธิพลแทรกแซงการเมืองไทย อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร หลายครั้งในอดีต กรรมาธิการฯถ้าจะตั้งขึ้นควรนำไปปัจจัยนี้ไปประกอบการพิจารณาด้วย เพื่อกำหนดห้วงเวลาของการศึกษาว่าจะย้อนไปถึงเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 เลยหรือไม่
น่าเสียดาย พรรคที่ประกาศตัวเองว่ายึดมั่นหลักการประชาธิปไตย ต่อสู้เผด็จการมายาวนานที่สุด ยอมจำนนต่อกติกา มารยาท ความเป็นพรรครัฐบาล กลายเป็นไม้หลักปักขี้เลน เปลี่ยนสีไปตามสถานการณ์ ต้องอภิปรายคัดค้านตามมติวิป(ฮา) สวนทางกับที่เคยสนับสนุนการตั้งกรรมาธิการศึกษาผลกระทบจากประกาศ คำสั่ง คสช.ก่อนหน้านี้
เกิดข้อถกเถียงว่าด้วยต้นเหตุของการปฏิวัติอีกครั้งว่า ระหว่างการเข้าสู่อำนาจด้วยวิธีการที่ไม่เป็นไปตามระบอบ กับ การใช้อำนาจบริหารเกินขอบเขต ทุจริต ไร้คุณธรรม อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล
มองมุมแรก การปฏิวัติรัฐประหารเป็นผลของการบิดเบือน ใช้อำนาจที่ไร้คุณธรรม
แต่ทันทีที่ใช้กำลังความรุนแรงแก้ปัญหา ผลก็จะกลับกลายเป็นเหตุ ทำให้เกิดความเสียหายในระยะยาวทุกด้าน เช่นที่สังคมไทยกำลังเผชิญอยู่ขณะนี้
สังคมอำนาจ สิทธิเสรีภาพถูกปิดกั้น เกิดสภาพสองมาตรฐาน ต่อเนื่องยาวนาน
บรรทัดฐานคำตัดสินของศาลที่ให้ยอมรับการยึดอำนาจ เมื่อทำสำเร็จคณะปฏิวัติก็กลายเป็นองค์อธิปัตย์ ขณะที่เสียงส่วนน้อยเห็นตรงข้ามว่าการปฏิวัติเป็นการทำลายหลักยุติธรรมทางอาญาอย่างชัดเจน ความเห็นต่างนี้ถูกนำขึ้นมาอภิปรายกันอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับข้อเสนอทางออกในเชิงโครงสร้าง ให้มีการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม ปฏิรูปกองทัพ
ประเด็นต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นคำอภิปรายที่น่าคิด หากไม่จำนน ประนีประนอมโดยลืมหลักการ แต่ร่วมกันแสวงหาความจริงและทางออกประโยชน์ย่อมมีมากกว่า และเกิดขึ้นทันทีเมื่อมีการศึกษาค้นคว้าอย่างเป็นเรื่องเป็นราว มีหลักวิชารองรับ
ถ้าไม่มั่นใจในความเป็นกลางของทั้งสองฝ่าย การตั้งคณะกรรมาธิการก็สามารถให้คนนอกที่มีวุฒิภาวะ แยกแยะระหว่างความเชื่อกับความจริงได้ชัดเจน เข้ามาร่วมให้มาก ทำให้กรรมการชำระประวัติศาสตร์ชุดนี้เป็นมาตรฐานได้
การเมืองจะไม่เป็นการเมืองที่ปิดกั้นเแสงสว่างแห่งปัญญา เมื่อทุกฝ่ายยึดมั่นในพุทธพจน์ที่ว่า บรรดาความเสื่อมทั้งปวง ความเสื่อมแห่งปัญญาชั่วร้ายที่สุด