‘ไวรัสอู่ฮั่น’ระบาดฉับไว : โดย ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช

‘ไวรัสอู่ฮั่น’ระบาดฉับไว : โดย ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช

‘ไวรัสอู่ฮั่น’ระบาดฉับไว : โดย ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช

หลังจากฮ่องกง มาเก๊า ไทย สิงคโปร์ได้พบมีผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่ โรคปอดอักเสบได้กลายเป็นโรคระบาดไปในวงกว้าง จำนวนผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ท่ามกลางวิกฤต คนไทยไม่ควรตื่นตระหนก แต่ต้องตื่นตัวในการอันป้องกันการติดเชื้อ

ที่สำคัญที่สุดคือ การรักษาสุขอนามัยตามหลักการแพทย์

Advertisement

ในสถานการณ์ที่ไวรัสโคโรนากำลังคุกคามมนุษยชาติ คนทั่วโลกจำนวนไม่น้อยมากด้วยความกังวลและความกลัว อันเป็นเหตุให้กระทบถึงสุขภาพจิต

ก็เพราะข่าวจริงและข้อมูลข่าวสารผิดวิสัยเจือสมกันเป็นเหตุ

ดังนั้น จึงควรใช้วิจารณญาณ พินิจพิเคราะห์ให้ดี เพื่อป้องกัน “ข้อมูลข่าวสารผิดวิสัย” ระบาดเฉกเช่น “ไวรัสโคโรนาสายพันธ์ุใหม่ 2019”

ณ วันที่ 9 กุมภาพันธ์ ไวรัสปอดอักเสบสายพันธุ์ใหม่ได้กระทบทั่วโลก ทั้งนี้หมายความรวมถึงเศรษฐกิจโลกาภิวัตน์ก็ได้รับแรงกดดันด้วย

1 ผู้ป่วยติดเชื้อที่จีนร้อยละ 99

1 ผู้ป่วยติดเชื้อที่เข้ารับการรักษาเกือบ 30 ประเทศ

หากเชื้อไวรัสได้ระบาดไปยังประเทศที่กำลังพัฒนาอันมีโครงสร้างทางการแพทย์ที่ค่อนข้างอ่อนแอ อาจยังผลให้เกิดวิกฤตสาธารณสุขขนาดใหญ่

วันนี้ การป้องกันการระบาดของเชื้อไวรัสปอดอักเสบสายพันธุ์ใหม่ของสังคมโลก ดูเหมือนเป็นไปในรูปแบบ “ตัวใครตัวมัน”

จึงไม่แปลกที่องค์การอนามัยโลก (WHO) วิจารณ์โดยไม่เอ่ยนามประเทศว่า “ประเทศร่ำรวยส่วนหนึ่ง ยังยิ่งหย่อนต่อการแบ่งปันข่าวสารอันเกี่ยวกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่”

ผู้ติดเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

1 ประเทศจีนมีผู้ติดเชื้อเข้ารับการรักษาเกินกว่า 3 หมื่นราย

1 ผู้ติดเชื้อทั่วโลกที่เข้ารับการรักษาเกือบ 300 ราย

ผู้เชี่ยวชาญส่วนหนึ่งได้ใช้หลักคณิตศาสตร์คำนวณและอนุมานว่า

จำนวนผู้ติดเชื้อที่แท้จริงอาจเกินกว่า 1 แสนราย

การพัฒนาการของการแพร่ระบาดรวดเร็วและฉับไว

เป็นการอันกระทบถึงเศรษฐกิจโลกนับวันมากขึ้นและเพิ่มขึ้น

แม้ความเร็วแห่งการระบาดยังไม่เท่าไข้หวัดใหญ่

แต่เร็วกว่าโรค SARS และ MERS (โรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง)

ผู้เชี่ยวชาญโรคระบาดได้คาดการณ์ว่า ไวรัสอู่ฮั่นมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นโรคระบาดทั่วโลก (global epidemic) แต่จะมีผลกระทบต่อโลกมากน้อยเพียงใด ยังยากแก่การประมาณการเพราะนักวิทยาศาสตร์ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเชื้อไวรัสนี้ว่ามีอันตรายต่อชีวิตมากน้อยเพียงใด

ยกตัวอย่าง เมื่อครั้งไข้หวัดหมูระบาดปี 2009 ผู้เชี่ยวชาญโรคระบาดสหรัฐนาม Anthony Fauci ชี้ว่า เชื้อ H1N1 ในไข้หวัดหมูนั้น เปี่ยมด้วยอัตราการแพร่ระบาดอันสูงยิ่ง

และเมื่อเริ่มแรกของการเกิดโรค มีคนส่วนหนึ่งได้พรรณนาว่า “วาระสุดท้ายของเม็กซิโกใกล้เข้ามาแล้ว” เพราะประเทศเม็กซิโกคือต้นตอแห่งการเกิดโรคไข้หวัดหมู

แต่ในที่สุด ไม่เป็นไปตามคาด เพราะอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยไม่ถึงร้อยละ 1

สำหรับอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรค SARS คือร้อยละ 10

และอัตราการเสียชีวิตของผู้ป่วยโรค MERS คือเกินกว่าร้อยละ 30

ส่วนอัตราการเสียชีวิตของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 อยู่ในระดับประมาณร้อยละ 2 มาโดยตลอด แต่นักวิทยาศาสตร์ไม่อาจยืนยันได้ว่าจะต้องอยู่ในระดับนี้ต่อไป

ทั้งนี้ ต้องรอผลการวิจัยทั้งระบบก่อน จึงจะทำการสรุปผล

อย่างไรก็ตาม สังคมก็ไม่ควรตื่นตระหนกจนเกินเหตุ และก็ไม่ควรประมาทจนเกิดเหตุ

องค์การอนามัยโลกประกาศว่า มาตรการของจีนอันเกี่ยวกับการป้องกันการระบาดของเชื้อไปสู่วงกว้างนั้น เป็นเรื่องถูกต้องเหมาะสมแล้ว พร้อมกับร้องขอให้ทั่วโลกให้ความร่วมมือ

การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสนั้นไม่มีพรมแดน ขอให้สังคมโลกร่วมมือในการต่อต้าน

ก่อนเกิดเหตุ “ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 โดนัลด์ ทรัมป์เคยกล่าวว่า เป็นเพื่อนกับสี จิ้นผิง และยินดีเดินไปในทิศทางเดียวกัน

แต่พลันที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ “ไวรัสอู่ฮั่น” เป็น “ภาวะฉุกเฉินสาธารณสุขระหว่างประเทศ” สหรัฐก็ได้สั่งห้ามคนจีนเข้าประเทศ

หากอุทานตามเพลงตอนหนึ่งของ “ไผ่ พงศธร” ก็คือ

“ย่อนหยังเจ้าถึงได้ถิ่มอ้ายไป”

อนึ่ง ผู้อำนวยการใหญ่องค์การอนามัยโลกกล่าวว่า ณ ต้นเดือนกุมภาพันธ์ นอกจากจีน รายงานอันเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสโคโรนาที่ได้รับยังไม่ถึงร้อยละ 40 จึงแสดงว่าการแบ่งปันและสื่อสารยังอยู่ในระดับที่ล้าหลังมาก ส่วนประเด็นอันเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของบุคคลหรือขนถ่ายสิ่งของ WHO ไม่เคยมีการจำกัดแต่อย่างใด เพราะเห็นว่าโทษมากกว่าคุณ

แต่บัดนี้ สหรัฐ สิงคโปร์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น ได้ห้ามมิให้คนจีนเข้าเมือง หรือบุคคลที่เคยเดินทางไปจีนเมื่อ 14 วันก่อนเข้าเมืองด้วยเช่นกัน

ส่วนเยอรมนี ฝรั่งเศส แคนาดา ฯลฯ ยังไม่มีการประกาศห้ามคนจีนเข้าเมือง หากมีการตรวจเข้มเท่านั้น โดยเฉพาะรัฐบาลแคนาดาแถลงว่า ยังไม่ปรากฏมีหลักฐานใดสนับสนุนการห้ามเข้าเมือง สามารถป้องกันการระบาดของโรคโคโรนาสายพันธุ์ใหม่

ผู้เชี่ยวชาญศูนย์กลางความปลอดภัยสุขภาพสหรัฐนาม Eric Toner กล่าวว่า ทุกครั้งที่เกิดโรคระบาดสายพันธุ์ใหม่ ผู้คนมักเข้าใจกันว่า การห้ามเข้าเมืองนั้นสามารถป้องกันเชื้อระบาดได้ แต่จากผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และทดลอง มิใช่เป็นเช่นนั้น หากในทางการเมืองใช้ได้ แต่มิได้หมายความว่าเป็นพฤติการณ์ที่ถูกต้องเหมาะสม

Eric Toner กล่าวว่า ตั้งแต่โรคเอดส์ถึงไข้หวัดหมู จากผลการวิจัยปรากฏว่า มาตรการห้ามเข้าเมือง เป็นเพียงการชะลอความเร็วในการระบาด และให้เวลาแก่นักวิทยาศาสตร์คิดค้นยาขนานใหม่และวัคซีนในการป้องกันโรคเท่านั้น

หากมิใช่เป็นการป้องกันการระบาดของโรคอย่างเป็นนิรันดร์

ตัดกลับไปที่ประเทศกำลังพัฒนาและกำลังเศรษฐกิจอ่อนแอ หากเกิดโรคระบาด

กรณีย่อมไม่ต่างไปจากการถูกคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ

บรรดาประเทศที่ร่ำรวยอย่างสหรัฐ เป็นต้น มีความสามารถในการป้องกันและควบคุมการระบาดของโรค แต่ในบรรดาประเทศที่ยังยากแค้นแสนเข็ญ เช่นในแถบแอฟริกา จะอยู่อย่างไร

การที่จะอยู่รอดปลอดภัย จำเป็นต้องมีมาตรการป้องกันที่ดี ซึ่งต้องการงบประมาณมาก

มีอยู่ตัวเลือกเดียวคือ ประเทศที่พัฒนาแล้ว ก็ต้องให้การช่วยเหลือทางด้านการเงิน

บัดนี้ รัฐบาลสหรัฐประกาศว่า ร่วมการกุศล 100 ล้านเหรียญสหรัฐ

ในขณะที่ญี่ปุ่นช่วยงานบุญ 10 ล้านเหรียญสหรัฐ

แต่งบประมาณเฉพาะกิจครั้งนี้ที่องค์การอนามัยโลกได้ตั้งไว้คือ 6.75 ร้อยล้านเหรียญ

ความหวังสุดท้ายจึงฝากอยู่กับประเทศที่ร่ำรวย

ควรต้องร่วมการทอดผ้าป่าสามัคคี

ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช

เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่เพิ่มเพื่อน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image