ลักษณะโกลาหลอันเกิดขึ้น ณ สนามบินสุวรรณภูมิ เป็นปัญหา เป็นความขัดแย้ง อย่างเด่นชัดและน่าเป็นห่วงยิ่ง
แต่นี่คือสถานการณ์ “ไวรัส”
น่าแปลกใจที่มีคนจำนวนไม่น้อยมองเห็นและรู้สึกว่าเป็นสถานการณ์ทางการเมือง เป็นสถานการณ์เหมือนกับความขัดแย้งในอดีต
ไม่ว่าก่อนรัฐประหาร 2549 ไม่ว่าก่อนรัฐประหาร 2557
จึงนำมาตรการ จึงใช้วิธีการอย่างเดียวกันกับที่เคยใช้ในห้วงเวลานั้นมาเป็นอาวุธ มาเป็นเครื่องมือในการทำลายล้าง
ไล่ล่าเหมือนกระทำกับ “อาชญากร”
ทั้งๆ ที่ปฏิกิริยาอันกลายสภาพเป็นโกลาหล ณ สนามบินสุวรรณภูมิ มาจากความไม่เป็นเอกภาพมาตรการและคำสั่ง มาจากความไม่เข้าใจ
คล้ายกับเป็น “การเมือง” แต่ก็เป็นการเมืองเนื่องจาก “ไวรัส”
ปฏิกิริยาต่อเนื่องจากสภาพโกลาหล ณ สนามบินสุวรรณภูมิ จึงสะท้อนสภาวะตกค้างในความคิดจากยุคแห่งสงครามการเมือง
ยุคแห่งการทำลายล้างอันดุเดือด เข้มข้น
จำเป็นต้องสร้างเป้า กำหนดศัตรู และจำเป็นต้องรวมศูนย์กำลัง ความสามารถเพื่อบดขยี้ให้แหลกละเอียดเป็นผงฝุ่น
เหมือนที่ทำกับ “ทักษิณ” เหมือนที่ทำกับ “ยิ่งลักษณ์” และเพิ่งทำกับ “ธนาธร”
จึงได้มีการเปิดรายชื่อคนไทยซึ่งเดินทางมาจากต่างประเทศ สร้างความเกลียดชัง ก่อกระแสในลักษณะชังชาติ
เหมือนที่ทำได้ผลมาแล้วในอดีต
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง ทั้งหมดล้วนเป็นคนไทย ทั้งหมดล้วนประสบชะตากรรมจากวิกฤตของไวรัสเช่นเดียวกับคนไทยอื่นๆ
ไวรัสต่างหากคือคนร้าย ขณะที่คนไทยเหล่านั้นคือ “เหยื่อ”
จากพื้นฐานความเชื่อและยึดติดจากยุคแห่งสงครามความขัดแย้งทางการเมืองเช่นนี้เองจึงนำไปสู่บรรยากาศแปลกๆ
ไม่สามารถแยก “มิตร” แบ่ง “ศัตรู” ได้
ยังติดกับความเชื่อเก่าและมองอีกฝ่ายด้วยสายตาแบบเก่า เหมือนกับเป็นศัตรูที่จะต้องทำลายล้างอย่างบ้าคลั่ง
ฆ่ามัน ฆ่ามัน สถานเดียว
แม้กระทั่งการเสนอความเห็น “ต่าง” ทั้งๆ ที่มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นก็คือ ทำอย่างไรจะต่อกรกับไวรัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำอย่างไรจึงจะช่วยเหลือ เยียวยาประชาชนได้อย่างทันท่วงที
กลับมองเห็นเป็นการเมือง มองเห็นว่ามาจากความไม่หวังดี
ไม่ว่าจะมองไปยังการบริหารจัดการในเรื่องไวรัสก็เป็นปัญหา ไม่ว่าจะมองไปยังการบริหารจัดการในเรื่องไฟป่า พีเอ็ม 2.5 ก็เป็นปัญหา
ลักษณะ “ประชาร่วมใจ” จึงไม่บังเกิดในทางเป็นจริง
จำเป็นต้องสรุปปัญหาและความขัดแย้งในห้วงก่อนรัฐประหาร ไม่ว่าจะเป็นเมื่อเดือนกันยายน 2549 ไม่ว่าจะเป็นเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 มาเป็นบทเรียน
นี่คือปัญหา “ไวรัส” มิใช่ปัญหา “การเมือง”
หากติดอยู่กับปมในทางการเมืองก็จะนำไปสู่การช่วงชิง เบียดขับ ฝ่ายหนึ่ง และไม่อาจสร้างความร่วมมือร่วมใจ เพราะมีแต่การแข่งขัน มีแต่การทำลายล้าง
ในอีกด้าน “ไวรัส” จึงน่าจะทำให้เกิดการตื่นและสำนึกใหม่ในทางความคิด