บทนำประจำวันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563 : จับตาก้าวต่อไป

บทนำประจำวันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563 : จับตาก้าวต่อไป

บทนำประจำวันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน 2563 : จับตาก้าวต่อไป

การบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยากขึ้นเป็นลำดับ หลังจากที่การแพร่ระบาดเกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้นปี กระทั่งรัฐบาลตัดสินใจเข้มงวดเป็นลำดับ เริ่มจากการประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และตามมาด้วยการประกาศเคอร์ฟิวเวลา 22.00-04.00 น. จนถึงวันที่ 30 เมษายน โดยมีวัตถุประสงค์ให้ทุกคนงดการทำกิจกรรมร่วมกัน หยุดยั้งโอกาสการแพร่ระบาดของไวรัส โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ที่เดิมคนไทยมีการเคลื่อนย้ายกลับสู่ภูมิลำเนา และพบปะกับครอบครัว ซึ่งมีโอกาสการแพร่ระบาดมากขึ้น

ขณะนี้การประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และการประกาศเคอร์ฟิว ได้ดำเนินการมาจนกระทั่งตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลง จากระดับเกินร้อยคน ลงเหลือเป็นระดับสิบ ขณะเดียวกัน การเตรียมการรับผู้ป่วยก็มีความพร้อมมากขึ้น ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ กำลังพลของเจ้าหน้าที่ มีการระดมอุปกรณ์ทางการแพทย์ มีความตระหนักถึงการขาดแคลนหน้ากากอนามัย เจลแอลกอฮอล์ มีการเตรียมสถานที่กักตัว และอื่นๆ อีกมากมาย จนสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และต่างชาติชื่นชมในการดำเนินการ

ขณะเดียวกับที่ความสำเร็จด้านสาธารณสุขกำลังได้รับคำชม ประชาชนส่วนหนึ่งกำลังหวาดหวั่นกับการดำรงชีพ ทั้งรายได้ ทั้งการใช้ชีวิต ยิ่งเวลาผ่านพ้นไปนาน ยิ่งตอกย้ำให้รู้สึกถึงความขาดแคลน ซึ่งเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องพิจารณา ยิ่งเมื่อพ้นจากระยะเวลาเป้าหมายที่รัฐบาลตั้งไว้ คือล่วงเลยจากเทศกาลสงกรานต์ ผ่านพ้นวันที่ 15 เมษายน ที่ทางการตั้งเป้าหมาย เมื่อไปถึงวันที่ 30 เมษายน ซึ่งเป็นวันที่ต้องตัดสินใจว่าจะยังคงคำสั่งเข้มงวดในด้านเศรษฐกิจไว้นั้น จะตัดสินใจอย่างไร

Advertisement

เรื่องดังกล่าวคงยากต่อการตัดสินใจ เพราะหากมองในมุมของแพทย์ ย่อมต้องการให้ความเข้มงวดยังคงดำเนินไปเช่นนี้ แต่ถ้ามองในแง่ของนักธุรกิจ ซึ่งต้องแบกรับภาระทางเศรษฐกิจ ย่อมต้องการให้มีการผ่อนปรน สิ่งสำคัญจึงอยู่ที่ความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ว่าจะทำได้มากน้อยแค่ไหน ภาคธุรกิจและภาคประชาชน จะให้ความร่วมมือกับภาครัฐในการป้องกันการระบาดของโควิดได้มากแค่ไหน เพื่อให้สถานการณ์ทางธุรกิจดีขึ้น ลดความ
ไม่มั่นใจในการดำรงชีวิต

การดำเนินการของรัฐบาลที่ผ่านมาสามารถบริหารประเทศไปได้อย่างลุล่วง แต่จังหวะก้าวต่อไปเป็นจังหวะก้าวที่สำคัญ หากสามารถรักษาดุลยภาพระหว่างการป้องกันชีวิตในมุมมองของสาธารณสุขกับการป้องกันการดำรงชีวิตในมุมมองของเศรษฐกิจได้ แม้ประเทศไทยจะต้องอยู่ท่ามกลางวิกฤตนี้ไปจนกว่าจะมีวัคซีนออกมา ก็เชื่อว่าไทยจะยังคงรักษาเนื้อรักษาตัวเอาไว้ได้ การจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับความร่วมมือของคนไทยทั้งหมด โดยจังหวะก้าวต่อไปรัฐบาลน่าจะประกาศให้ทราบได้ภายในเดือนเมษายนนี้ จังหวะก้าวที่ว่านี้ จะพิสูจน์ว่าไทยจะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ หรือต้องยอมย่ำเท้าอยู่กับที่กันต่อไป

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image