ทางแพร่งของ‘โรคโควิด-19’กับ‘โรคหิวโหย’ โดย ดร.นพ.วิชัย เทียนถาวร อดีตปลัดกระทรวงสาธารณสุข

นับแต่ “ไวรัสโควิด-19” เริ่มระบาดที่เมืองอู่ฮั่น สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นแห่งแรก เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2562 ถึงเดือนเมษายน 2563 ณ ขณะนี้เป็นเวลา 4 เดือน เชื้อไวรัสมหันตภัยได้แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลก จีนได้ล็อกดาวน์เมืองที่เป็นต้นเหตุของการระบาดและอีกหลายเมือง ทั้งยังสกัดการเดินทางของชาวจีน 1,600 กว่าล้านคน ไม่ให้มีการเคลื่อนย้ายไปสถานที่ใดๆ อันส่งผลกระทบถึงเศรษฐกิจของประเทศ ทั้งภาคการผลิตและบริการต้องทรุดตัวอย่างหนักอยู่ในระดับต่ำสุดกว่าที่คาดการณ์ไว้ และจีนยังเป็น “ฮับ” ของห่วงโซ่ซัพพลายสำหรับประเทศทั่วโลกย่อมเป็น “ลูกโซ่” ทำให้เศรษฐกิจโลกต้องหยุดชะงักตามไปด้วย

การระบาดได้ลุกลามไปทั่วโลกในแถบประเทศยุโรป อเมริกา แอฟริกา ฯลฯ แบบฉุดไม่อยู่ ยอดผู้ติดเชื้อสะสมทั่วโลก ณ เวลานี้มากกว่า 2 ล้านคน สังเวยชีวิตมากกว่า 1 แสนคน “อเมริกา” มีตัวเลขผู้ติดเชื้อสะสมมากเป็นอันดับ 1 กว่า 6 แสนคน เรียกว่า 1 ใน 4 ของทั่วโลก และยอดผู้เสียชีวิตมากกว่า 26,000 ราย มากที่สุดในโลกเช่นกัน และหลายประเทศยังไม่มีแนวโน้มจะควบคุมสกัดหยุดยั้งเจ้า “ไวรัสวายร้าย” นี้ได้ ซึ่งวิกฤตการณ์ดังกล่าวได้พ่นพิษต่อ “เศรษฐกิจโลก” ที่อาจต้องประสบตกต่ำครั้งยิ่งใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ระมาณต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ไอเอ็มเอฟ หรือกองทุนการเงินระหว่างประเทศ โดย “คริสตาลินา จีออร์จีวา” กรรมการผู้จัดการใหญ่ได้ออกมาแถลงข่าวเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะถดถอยหนักที่สุดนับแต่ (The Great Depression) ปี ค.ศ.1930 เป็นต้นมา เมื่อปี พ.ศ.2472 (ค.ศ.1929) เศรษฐกิจโลกเคยถดถอยครั้งใหญ่ที่สุด ในทวีปอเมริกาเหนือและทวีปยุโรป ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ลุกลามมาหลายประเทศทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย โดยได้ระบุว่าจะมีถึง 170 ประเทศที่จะมีรายได้ต่อหัวติดลบ และยังพยากรณ์ล่วงหน้าว่าปีหน้า 2021 เศรษฐกิจโลกจะฟื้นกลับมาเพียงบางส่วนเท่านั้น และล่าสุด กิตา โกปินาธ (Gita Gopinath) หัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจของ IMF ก็เปิดเผยตัวเลขสรุปได้ว่าในภาพรวมเศรษฐกิจโลกจะหดตัวลงไป 3 เปอร์เซ็นต์

ประเทศยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจทั้งหลายจะหดตัวลงโดยเฉพาะสหรัฐ คาดว่าจะหดตัวถึง 5.9 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นการติดลบสูงสุดนับแต่ปี ค.ศ.1946 เป็นต้นมา และคาดว่าอัตราการว่างงานจะขึ้นไปอยู่ที่ 10.4 เปอร์เซ็นต์ ในปีนี้สำหรับประเทศพัฒนาแล้วอีก 5 ประเทศในยุโรป ได้แก่ สเปน อิตาลี ฝรั่งเศส อังกฤษ ก็ติดลบเช่นกัน (-8.0, -9.1, -37.2, -6.5 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับ)

Advertisement

สำหรับญี่ปุ่นเจอปัญหา 2 ระลอกต้องประกาศภาวะฉุกเฉินอีกรอบ คาดว่าจะติดลบ 5.2 เปอร์เซ็นต์

ในขณะที่จีนซึ่งติดเชื้อเป็นรายแรก แต่เอาอยู่ในที่สุด เป็น 1 ในไม่กี่ประเทศที่ GDP ยอดเป็นบวก โดย +1.2 เปอร์เซ็นต์ เป็นอัตราบวกที่ต่ำที่สุดของจีนนับแต่ปี 1976 เป็นต้นมา

ส่วนกลุ่ม “เอเซียน” กิตาพยากรณ์ว่าจะลบ 0.6 เปอร์เซ็นต์

ตัวแปรใหญ่ที่มีผลกระทบเศรษฐกิจโลกอย่างมากมีจีนกับสหรัฐอเมริกา กล่าวคือ ข้อกังวลมีผลขึ้นอยู่กับ… “สงครามการค้าระหว่าง 2 ประเทศ” จะเกิดขึ้นอีกหรือไม่?

ใน 1-2 อาทิตย์หลังจากที่ทีมนายกรัฐมนตรีได้เข้าเฝ้าฯในหลวง เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2563 ที่ผ่านมาตัวเลขเชิงระบาดวิทยาของ “ไวรัสโควิด-19” เริ่มคลี่คลายลงอย่างต่อเนื่อง ผู้ติดเชื้อรายใหม่อยู่ที่ 20-40 คน เสียชีวิต 1-4 คน ยอดรวมผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 2,600 คน ผู้เสียชีวิต 43 ราย อยู่ลำดับที่ 52 ของประเทศทั้งหมด และประจวบกับภายใต้การดำเนินมาตรการใช้ยาแรงของรัฐบาล อันได้แก่ การประกาศใช้ พ.ร.บ.ฉุกเฉิน การประกาศเคอร์ฟิวทั่วประเทศ ตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตี 4 สั่งปิดห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร ร้านบริการเสริมสวย ตัดผม รถแท็กซี่ วินมอเตอร์ไซค์ ฯลฯ โดยมีเป้าหมายต้องการให้ประชาชน 66 ล้านคน ทุกคนทุกอาชีพ ได้ปลอดภัยจากโรคไวรัส COVID-19 ไม่ป่วยไม่ตาย…ด้วยมาตรการต่างๆ ทั้งด้าน “กฎหมาย” มีการบังคับใช้ทุกคน (66 ล้านคน) และก็ขอความร่วมมือ เสียสละไม่เห็นแก่ตัว ใครฝ่าฝืนถูกปรับถูกจำคุก…ต่างๆ ตามที่เป็นข่าวทั้งสื่อที่มีทุกวัน ย่อมส่งผลกระทบต่อการทำมาหากินของประชาชน 66 ล้านคนเช่นกัน

ขณะเดียวกันหลายประเทศที่รัฐบาลใช้มาตรการทางกฎหมายคล้ายกับประเทศไทยของเรา เช่น ฟิลิปปินส์ อินเดีย แอฟริกา ฯลฯ ก็เกิดความโกลาหล จลาจล เนื่องจาก “ไม่มีรายได้” ยากจน หิวโหย อดอยาก เกิดการต่อสู้กันขึ้นระหว่างประชาชนกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง ทหาร ตำรวจ แม้แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น อิตาลี ออสเตรเลีย ก็มีการแย่งซื้ออาหารเพื่อกักตุนกัน นั่นคือ ภาพของนานาประเทศฉายให้เห็นว่า “ความหิวโหยไม่เคยปรานีใคร”

สำหรับการเตรียมฟื้นตัว “เศรษฐกิจ” ภายหลังวิกฤต “ไวรัสโควิด-19” เริ่มคลี่คลาย นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้มีคำสั่งแต่งตั้งให้ภาคธุรกิจเอกชนเข้าร่วมกับภาครัฐช่วยกันแก้ไขบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจ โดย “ภาคเอกชน” เสนอให้เปิดพื้นที่สาธารณะรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนผ่านเฟซบุ๊ก “ร่วมด้วยช่วยคิด” คาดหวังจะสามารถสร้างการมีส่วนร่วมประมวลความคิดเสนอรัฐบาล “รวมพลังพลิกฟื้นเศรษฐกิจ” ให้ได้

นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยืนยันรัฐบาลพร้อมช่วยประชาชนโดยมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินการคลังของรัฐ เพื่อปรับลดเงินการใช้จ่ายให้สอดคล้องกับสภาพปัจจุบัน และมีมติสำคัญๆ ตามที่เป็นข่าวทางสื่อ แจ้งให้ประชาชนรับรู้ รวมถึงตรวจสอบข้อมูล พบว่า แรงงานประเทศไทยมี 37 ล้านคน แบ่งเป็น 3 กลุ่ม 1) ผู้ประกอบการอิสระ แรงงานนอกระบบ 9 ล้านคน รัฐยืนยันจ่ายเยียวยา ยอด 5,000 บาท 3 งวด คนละ 15,000 บาท 2) กลุ่มแรงงานในระบบประกันสังคมมาตรา 33 หรือมนุษย์เงินเดือน จำนวน 11 ล้านคน โดยที่ประชุม ครม.อนุมัติช่วยเหลือให้รับเงินจ้างงานจากเดิม 50% เป็น 62% ของค่าจ้าง ระยะเวลาไม่เกิน 90 วัน 3) กลุ่มเกษตรกร จำนวน 17 ล้าน รัฐบาลอยู่ระหว่างออกมาตรการช่วยเหลือ หลักการเบื้องต้นต้องมีการคัดกรองเนื่องจากเกษตรกรแต่ละกลุ่มได้รับผลกระทบแตกต่างกัน

แต่แล้วเมื่อวันอังคาร พุธ พฤหัสที่ 14-15-16 เมษายน 2563 พบว่า มีฝูงชนประมาณร้อยกว่าคนบุกไปที่กระทรวงการคลังเพื่อทวงสิทธิที่เชื่อว่าตนมีสิทธิ แต่ภาคราชการอาบอกปัดว่าไม่มี นั่นก็คือ สิทธิที่จะได้รับแจกเงินเยียวยาจากรัฐเดือนละ 5,000 บาท เป็น เวลา 3 เดือน เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บางคนร้องตะโกน บางคนร้องไห้คล้ายกับจะประกาศให้โลกรู้ว่า “ฉันหิวนะ” แต่ยังไม่ถึงฟิลิปปินส์ อินเดีย แอฟริกา

นั่นคือภาพของประชาชนคนหาเช้ากินค่ำลุกฮือบุกกระทรวงการคลังเพื่อขอพบ “ขุนคลังโควิด” อุตตม สาวนายน รมว.คลัง เพื่อทวงสิทธิ!

ประเทศไทยมาถึงวันนี้ได้อย่างไร จากวิกฤตโควิด-19 ต้นมกราคม 2563 รอดตายจากโรคร้าย! ที่ยังไม่มียารักษา ยังไม่มีวัคซีนถึงวันนี้ก็ 3-4 เดือนผ่านมา และเป็นวันที่มีข่าวนัดกันฆ่าตัวตายยกครัว ครั้งละ 4-5 คน หรือคนเดียว เนื่องจากภาวะข้าวยากหมากแพง ก่อนที่โควิด-19 จะบุกเข้ามาอาละวาดด้วยซ้ำ (จากภัยแล้ง) ส่วนการบุกกระทรวงการคลังเมื่อวันอังคารที่ 14 เมษายน 2563 เพื่อทวงถามว่า “ทำไมพวกเขาจึงไม่มีสิทธิได้รับการเยียวยา” ทั้งๆ ที่ได้รับผลกระทบ เป็นวินาทีที่พวกเขาเหล่านั้นเดือดร้อนจริงๆ กลัวอดตายมากกว่ากลัวโควิด-19 หลังจากที่ประชาชน (คือ คนเหล่านี้ 66 ล้านคน) ปฏิบัติตามกฎหมายที่บังคับออกโดยรัฐบาล ไม่ทำก็ถูกลงโทษตัดสินติดคุกถูกปรับเงินเป็นพันเป็นหมื่นบาท โดยให้ร่วมมือกับรัฐบาลเก็บตัว “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” รอดตายจากโควิด-19 แล้วมารอความหวัง 5,000 บาท จากรัฐบาลมาประทังชีวิต แต่เมื่อคนส่วนหนึ่งไม่ได้เงินมา ตรงนี้แหละน่าเป็นห่วงปัญหา “ปากท้อง” ลุกลามและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ทั้งหลายทั้งปวงนี้ทำให้คนตกงานประมาณ 7 ล้านคน ไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้มาเป็นเดือนแล้ว จึงต้องเดือดร้อนแสนสาหัส วงการธุรกิจเชื่อว่าถ้าโควิดยืดเยื้อต่อไปอีกถึงพฤษภาคม-กรกฎาคม 2563 จำนวนคนว่างงานจะพุ่งขึ้นเป็น 10 ล้านคน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศคาดว่า ถ้าโควิดลากยาวไปอีก 6-12 เดือน คนจนจะพุ่งขึ้นเป็น 19 ล้านคน

“รัฐบาล” มีนโยบายมีแผนช่วยเหลือเยียวยาอยู่ได้รับผลกระทบจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ทุกคนแล้วก็ตาม แต่หลักการและหัวใจสำคัญของการเยียวยาวิกฤต “โรคร้าย” ครั้งนี้ รัฐบาลต้องยึดหลัก 1) ต้องดำเนินการด้วยความรวดเร็ว โปร่งใสและครอบคลุมประชากร (66 ล้านคน) ที่ได้รับผลกระทบทุกกลุ่ม 2) ผู้มีอำนาจต้องเร่งแก้ไขระเบียบปฏิบัติที่ยุ่งยาก ซับซ้อน ลดขั้นตอนของระบบราชการเพื่อให้การช่วยเหลือเยียวยาเกิดความสะดวกและรวดเร็วมากที่สุด 3) อย่าลืมว่าทุกที่ที่มีคนตกงาน ไม่มีเงิน หิวโหย เดือดร้อนอย่างแสนสาหัส หากมาตรการเยียวยาจากรัฐล่าช้าไม่ทั่วถึงเข้าทำนอง “ฝนตกไม่ทั่วฟ้า” แล้วจะได้รู้ “โรคร้าย คือ ไวรัสโควิต-19” แต่ “โรคที่ร้ายกว่า คือ โรคหิวโหย” เชื่อว่า “รัฐบาล” คงตระหนักระวังจะเกิดภาพซ้ำรอย ชาวบ้านรวมตัวประท้วง ทวงเงินเยียวยา ประมาณว่า “เรื่องกินเรื่องใหญ่-เรื่องตายเรื่องเล็ก”…อย่าให้เหมือนในฟิลิปปินส์ อินเดีย แอฟริกา ฯลฯ ก็แล้วกันนะครับ…

ท้ายสุดนี้…รัฐบาลต้องไม่ลืมปัจจัยสำคัญที่ว่า…“ไวรัสมรณะตัวนี้ยังไม่สูญพันธุ์” และที่สำคัญที่สุด คือ 1.ยังไม่มี “วัคซีน” ฉีดป้องกัน “ไวรัส COVID-19” ตัวนี้ 2.ยังไม่มีตัวยาที่รักษาโดยเฉพาะ “ไวรัส COVID-19” นี่คือ “ทางแพร่งระหว่างโรคโควิด-19 และโรคหิวโหย” ต้องตั้ง “สติ” ให้รอบคอบในการกำหนด (ปลดล็อก) มาตรการต่างๆ ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ให้ละเอียดรอบคอบให้ชัดเจน ซึ่งเรามีตัวอย่างให้เห็น คือ กรณีประเทศ “ญี่ปุ่น” และ “สิงคโปร์” “ไต้หวัน”… หรือแม้ประเทศ “จีน” ให้เห็นอยู่ว่ามี Relapse ย้อนกลับมาเป็นระลอก 2-3 ได้

ดังนั้น มาตรการต่างๆ ในการป้องกันและควบคุมการแพร่กระจายเชื้อยังมิอาจมองข้าม โดยเฉพาะการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) รวมทั้ง “2ล, 2ส” ยังต้องดำเนินต่อไปจนกว่ารัฐบาลมีนโยบายโดยการเสนอของกระทรวงสาธารณสุขให้ประกาศว่า…ประเทศไทยเป็นพื้นที่ “สีขาว”
ตาม “กฎ 6 ข้อ ของ WHO” ไงเล่าครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image