ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
ขาลงลายาว ผันผวนผสมโรง มหาวิกฤตเศรษฐกิจ
ที่มาพร้อมกับวิกฤตโรคระบาดโควิด-19
ก็คือวิกฤตทางเศรษฐกิจและปากท้องของคนทั่วโลก
เป็นวิกฤตที่แม้แต่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ระบุว่า
รุนแรงระดับ “สงครามโลก”
มีผลกระทบกับประชากรโลกในระดับที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ (The Great Depression) ช่วง ค.ศ.1929-1935
เพราะเป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว รุนแรง และนอกเหนือไปจากความคาดหมาย
รวมทั้งไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ว่า เหตุการณ์จะคลี่คลายลงเมื่อใด
อาการที่ปรากฏของวิกฤตครั้งนี้ก็คือ “ความผันผวน”
ผันผวนเพราะความไม่แน่ใจ ไม่วางใจ
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนก็คือ ราคาทองคำและราคาน้ำมัน
ราคาทองคำในตลาดโลกที่เคยพุ่งทะยานในช่วงระหว่าง ค.ศ.2011-2012
เฉลี่ยอยู่ที่ 1,688 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์
ตกต่ำต่อเนื่องมาตลอด อยู่ในระดับ 1,200-1,300 เหรียญ/ออนซ์
กระทั่งถึงช่วงครึ่งปีหลังของ ค.ศ.2019
ก่อนจะกระโดดพรวดมาอยู่ที่ราคาเฉลี่ย 1,597 เหรียญ/ออนซ์ในปี 2020
โดยราคาสูงสุดของปีอยู่ที่ 1,717 เหรียญ/ออนซ์
ขณะที่ราคาน้ำมันยิ่งผันผวนกว่า
หากยึดราคาน้ำมันเวสต์ เท็กซัส (WTI) ของสหรัฐอเมริกาเป็นดัชนี
จะพบว่า ราคาน้ำมันที่เคยอยู่ในระดับเฉลี่ย 60 เหรียญ/บาร์เรล ในปี 2019
หล่นพรวดลงมาเหลือต่ำกว่า 15 เหรียญ/บาร์เรล ในปัจจุบัน
และในตลาดซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา
ราคาน้ำมัน WTI ส่งมอบในเดือนข้างหน้าติดลบเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์การค้าน้ำมัน
ที่ลบ 40 เหรียญ/บาร์เรล
ก่อนจะกระเด้งกลับมาอยู่ที่ระดับประมาณ 10 เหรียญในวันถัดมา
ความผันผวนรุนแรงนี้ ไม่ได้ส่งผลสะเทือนเฉพาะบริษัทผู้ขุดเจาะน้ำมัน
โดยเฉพาะของสหรัฐอเมริกา
แต่ยังกระทบไปถึงบริษัทผู้ค้าน้ำมันทั่วโลก
เริ่มต้นด้วยบริษัทค้าน้ำมันใหญ่ในสิงคโปร์ ยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์ตัวเอง
และทิ้งหนี้คงค้างกับธนาคารเจ้าหนี้เอาไว้ 130,000 ล้านบาท
ยังไม่รู้ว่าจะมีอีกกี่บริษัทที่เดินซ้ำรอย
ธนาคารอีกกี่แห่งที่จะมีลูกหนี้เช่นนี้
เพราะภาระสต๊อกน้ำมันราคาแพงค้ำคอ
ภาวะเศรษฐกิจ “ขาลง”
เมื่อผนวกเข้ากับความ “ผันผวน”
ยิ่งทำให้ “ความไม่แน่นอน” เพิ่มมากขึ้น
ความไม่แน่นอนคือปัจจัยที่ธุรกิจทั้งหลายเกลียดและกลัวที่สุด
เพราะไม่สามารถคำนวณรายได้และต้นทุนได้ชัดเจน
เมื่อยังไม่ชัดเจน ก็ต้องดำเนินธุรกิจด้วยความ “ระมัดระวัง”
หมายถึงการใช้จ่ายให้น้อยที่สุด ลงทุนให้น้อยที่สุด
ซึ่งจะย้อนกลับมาทำให้สภาพเศรษฐกิจชะลอตัวต่อไป
ทำให้ “ขาลง” นั้นยืดยาวออกไปอีก
แม้กระทั่งสามารถควบคุมการระบาดของโรคได้แล้วในระดับหนึ่ง
ก็มิได้หมายความว่าเศรษฐกิจโลกโดยรวมจะกลับฟื้นตัวในทันที
และในหลายภาคธุรกิจ ยังจะ “ลากยาว” ต่อออกไป
เช่น ภาคการท่องเที่ยว
อันประกอบธุรกิจสายการบิน โรงแรม ภัตตาคาร ไปจนถึงกิจการต่อเนื่องอื่นๆ
เมื่อขาลงที่ลากยาว ผสมเข้ากับความผันผวน
โอกาสที่เศรษฐกิจจะกลับฟื้นตัวเข้าสู่ระดับก่อนหน้าโรคระบาด
เป็นเรื่องที่ไกลเกินฝัน
เป็นประเด็นที่ผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจจะต้องเตรียมมาตรการรองรับ
เป็นกรณีที่ธุรกิจน้อยใหญ่ต้องศึกษา และหาทางปรับตัวเพื่อความอยู่รอด
เป็นทั้งวิกฤตและโอกาสของคนทำงาน ไม่ว่าลูกจ้างบริษัทห้างร้านหรือผู้ประกอบอาชีพอิสระ
ในฐานะสมาชิกของสังคมโลก
ประเทศไทยไม่สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบหรือแนวโน้มนี้ได้
คำถามก็คือ มีการถกเถียงหารือ รวบรวมความคิดเพื่อรับมือกับมหาวิกฤตครั้งนี้มากน้อยเพียงใด
ในภาคเอกชนนั้นยังพอเห็นความเคลื่อนไหว
แต่ในภาครัฐ สัญญาณที่ออกมานั้นอ่อนเต็มที
อ่อนจนน่ากังวลใจ