หลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง(2) โดย นพ.วิชัย เทียนถาวร

32 คำสอนของ “หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ” ต่อจากมติชนฉบับพฤหัสบดีที่แล้ว ได้ทราบชีวประวัติของท่านในฐานะ “ศิษย์เอกของหลวงพ่อปาน” มีคำสอนของท่านที่สำคัญๆ น่าสนใจอย่างยิ่ง…ความว่า :

อารมณ์ของความชั่ว คือ อารมณ์ที่ชอบทำลายศีลด้วยตัวเอง หรือว่ายุชาวบ้านให้เขาทำลายศีล เมื่อเห็นบุคคลอื่นทำลายศีลแล้วดีใจว่าเขาไม่รักษาศีล ทำลายศีลเสียได้ก็ดี อารมณ์ชั่วอย่างนี้อย่าให้มี เราจะต้องควบคุมว่า เราจะไม่ทำลายศีลด้วยตัวเอง ศีลของใครมีเท่าไรรู้ไว้ด้วย เราจะไม่คิดยุยงให้คนอื่นคิดทำลายศีล เราจะไม่ดีใจในเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีลแล้ว

ดีหรือชั่วมันอยู่ที่การควบคุมกำลังใจ ถ้าใจของเราบริสุทธิ์ผุดผ่องเสียอย่างเดียว ใครจะว่าดีหรือชั่ว ไม่มีความสำคัญ เขาจะประณามว่าเลวมันก็เลวไม่ได้ มันก็ต้องดีอยู่ตลอดเวลา ถ้าจิตของเราชั่วเขาจะสรรเสริญว่าดี มันก็ดีไม่ได้เหมือนกัน นี่เป็นอันว่า พระพุทธเจ้าทรงให้รักษากำลังใจเป็นสำคัญว่า ควบคุมกำลังใจให้ดีไว้แล้วมันจะดีเอง ไม่ต้องไปฟังคำชาวบ้านเขา การที่เราดี เพราะรอให้ชาวบ้านสรรเสริญ นั่นมันเป็นอารมณ์ของความชั่ว

ขอบรรดาท่านพุทธบริษัท จงพยายามใคร่ครวญถึงความตายเป็นสำคัญ เรื่องความตายก็ดี การควบคุมอารมณ์จิตให้ปราศจากความฟุ้งซ่านก็ดี ควรจะทำให้เป็นปกติ ถ้าวันใดเราเผลอจากการควบคุมอารมณ์จิต ไม่ระงับความฟุ้งซ่านก็ดี วันใดถ้าเราเผลอไป ลืมนึกถึงความตายก็ดี ก็จงประณามตนเองว่าเรานี้เลวเต็มทีแล้ว

Advertisement

ท่านทั้งหลายจงอย่าประมาทกับชีวิต เพราะว่าชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง ขอทุกท่านจงคิดไว้เสมอว่า อย่างไรก็ดี เราต้องตายแน่ สำหรับเวลาการตายของเราไม่มีแน่นอน เพราะความตายไม่มีนิมิตเครื่องหมาย ท่านทั้งหลายจงประกอบแต่ความดีเข้าไว้ ถ้าใครสร้างความชั่ว ตายแล้วจะไปสู่อบายภูมิ มีนรก เป็นต้น เกิดมาเป็นคนก็จะมีแต่ความเร่าร้อน มีแต่ความลำบาก แต่ถ้าคนใดสร้างความดี คิดถึงความตาย ไม่ประมาทใช้ชีวิต คิดไว้เสมอว่าเราจะต้องตายแน่ จงอย่าคิดว่าวันพรุ่งนี้หรือเดือนหน้า ปีหน้า เดือนโน้น เราจึงจะตาย คิดไว้เสมอว่าวันนี้เราอาจจะตาย แล้วก็สร้างความดีเข้าไว้ ความดีจะส่งผลให้ท่านมีความสุขทั้งในปัจจุบันและสัมปรายภพ

ความรักที่มันเกิด เราเข้าใจว่ามันดี เข้าใจว่ามันสวย เข้าใจว่ามันสะอาด อารมณ์อย่างนี้เป็นอารมณ์ของตัณหา ดึงไปอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น นี่พระทุกองค์ เณรทุกองค์ ฆราวาสทุกท่าน จงดูตัวไว้เสมอว่า เรามีจุดบกพร่องขนาดไหน อย่าปล่อยให้กิเลสมันล้นจากใจ ถ้าจะเลวให้เลวอยู่แค่ในใจ อย่าให้มันไหลมาทางตาอย่าให้มันไหลมาทางปาก อย่าให้มันไหลมาทางกาย

จิตของเราที่ยุ่ง วาจาของเราที่เสีย กายของเราที่ไม่สำรวม ก็เพราะอาศัยจิตไม่ดี ไม่ใช้ปัญญา ไม่ใช้สัญญา สัญญาจำไว้แค่นี้ ทำจิตให้เป็นสมาธิ ปัญญามันก็เกิด ปัญญาก็พิจารณา เห็นคนเมื่อไร เห็นสัตว์เมื่อไร มีความรู้สึกทันทีว่าร่างกายของคนและสัตว์ทั้งหมดเต็มไปด้วยความสกปรก ความผูกพันกระสันอยากได้ ปรารถนาจะสัมผัสไม่มีในจิต ให้จิตมันทรงสภาพเช่นนี้ เห็นคนเหมือนกับเห็นซากศพ เห็นคนเหมือนกับเห็นของเน่าเปื่อย เห็นคนเหมือนกับว่าเห็นสิ่งที่เขาบรรจุอุจจาระปัสสาวะไว้เต็ม เท่านี้จิตก็จะไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ผูกพันในรูปกายใดๆ ทั้งหมด

Advertisement

การที่คิดว่าเราเสมอกับเขา มันเป็นตัวทะเยอทะยาน การที่คิดว่าเราดีกว่าเขาเป็นการข่มขู่ คิดทะนงตนว่าตนเป็นใหญ่ ถ้าคิดว่าเราเสมอเขา มันก็เสียอีกเพราะบางคนเขามีจริยาเลว เราคิดว่าเรากับเขาเสมอกัน ก็ต้องพยายามเลวตามเขา ความเลวมันเป็นปัจจัยของความทุกข์ ไม่ใช่ปัจจัยของความสุข ถ้าหากเขาดีกว่าเรา เราดีไม่เท่าเขา แต่เราคิดว่าเราดีเท่าเขา ก็เกิดความประมาท คิดว่าเราดีแล้วก็เป็นการทำลายความดีเราจะพึงแสวงหาต่อไป ถ้าเราคิดว่าเราเลวกว่าเขา ตอนนี้ก็เป็นการทำลายความดีที่เราจะพึงแสวงหาต่อไป ถ้าเราคิดว่าเราเลวกว่าเขา ตอนนี้ก็เป็นการทำลายความดีของตนเอง จิตใจมันก็มีความสุขไม่ได้ เป็นอันว่าการถือตัวตนว่าเราเสมอเขาก็ดี เราดีกว่าเขาก็ดี เราเลวกว่าเขาก็ดี เป็นปัจจัยของความทุกข์

อย่ามองคนด้วยฐานะ อย่ามองคนด้วยศักดิ์ศรี อย่ามองคนด้วยความรู้ความสามารถ มองคนแต่เพียงว่าสภาพของเขาเป็นวัตถุเหมือนสภาพของเรา จิตใจของเราพร้อมในการเมตตาปรานี ไม่ถือตน เขาจะมาในฐานะเช่นใดก็ช่าง ถือว่าเป็นเพื่อนเกิดแก่เจ็บตาย เหมือนกันหมด การกำหนดอารมณ์อย่างนี้
เราก็สามารถจะกำจัดตัวมานะ การถือตัวถือตนเสียได้

จงวางอารมณ์เสีย ใครเขาจะยังไงก็ช่าง เขาจะดี เขาจะชั่ว เขาจะเลว เขาจะยังไงก็ตามเถอะ ไม่สนใจ เห็นหน้าคนเราคิดไว้เสมอว่า เป็นคนที่เราควรแก่การปรานี เห็นหน้าสัตว์ก็คิดว่าเป็นสัตว์ควรแก่การปรานี พยายามไม่ถือตน คนและสัตว์ก็ตามถือว่ามีธาตุ 4 คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ เสมอกัน มีอาการ 32 เหมือนกัน มีความเกิดขึ้นในเบื้องต้น มีความเปลี่ยนแปลงไปในท่ามกลาง มีการสลายตัวไปในที่สุดเหมือนกัน สร้างอารมณ์ให้เป็นสังขารุเปกขาญาณ ในวิปัสสนาญาณอย่างนี้ การระงับการถือตัวถือตนย่อมเป็นของไม่ยาก

เราตั้งใจไว้เฉพาะว่า เราต้องการพระนิพพานในชาตินี้ มานั่งใคร่ครวญว่ามนุษย์โลกก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี เป็นดินแดนที่ไม่พ้นความทุกข์ ความทุกข์มันมีกับเราได้ทุกขณะจิต เราเป็นมนุษย์เต็มไปด้วยความร้อน ความหนาว ความหิว ความกระหาย ความปวด ความเมื่อย ป่วยไข้ มีความไม่สบาย มีความตายไปในที่สุด มีการกระทบกระทั่งกับอารมณ์ของชาวโลก เรื่องโลกมนุษย์ไม่ดี เทวโลกกับพรหมโลกก็พักความดีอยู่ชั่วคราว ไม่มีความหมาย ใจเราต้องการอย่างเดียว คือ “พระนิพพาน”

นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เธอจงถือกำลังใจสังขารุเปกขาญาณเป็นอารมณ์ อะไรจะเกิดขึ้นแก่ร่างกายก็ถือว่าเฉยไว้ เขาจะชมก็เฉย เขาจะด่าก็เฉย แล้วร่างกายจะเจ็บไข้ไม่สบายก็ทำใจสบาย เฉยๆ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา ธรรมดามันเป็นยังไง คิดว่าร่างกายของเรา เราต้องเป็นอย่างนั้น อย่าใช้อารมณ์ฝืนกฎของธรรมดา เท่านี้อารมณ์จิตของเธอจะเป็นสุข

พระอรหันต์ย่อมไม่ปรากฏเห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นเราเป็นของเรา ไม่เห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นของดี และก็ไม่เห็นว่าอะไรในโลกนี้เป็นของเลว ทั้งนี้เพราะพระอรหันต์ยอมรับนับถือกฎแห่งความเป็นจริง ว่าธรรมดาของโลกนี้เป็นอย่างนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกเป็นกฎธรรมดาไปหมด ไม่มีอะไรเป็นเครื่องสะเทือนใจ พระอรหันต์เขาด่าก็ไม่สะเทือนใจ เขาชมก็ไม่สะเทือนใจ อะไรๆ เกิดขึ้นมาทั้งทีก็เป็นเรื่องธรรมดา อนึ่ง ข้อปฏิบัติตนเพื่อเป็นศิษย์ (ต่อจากหน้าแรก) มี 3 ขั้น ปฏิบัติตนดังนี้ 1.ศิษย์ขั้น 3 : รักษาศีล 5 เสมอ อาจจะขาดตกบกพร่องบ้าง ก็พยายามรักษาให้ครบถ้วนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ 2.ศิษย์รุ่นกลาง : มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ พยายามรักษาอารมณ์ให้ทรงสมาธิเสมอตามสมควร ไม่ละเมิดศีลเป็นปกติ 3.ศิษย์เอก : เป็นลำดับสุดท้าย รักษาศีล 5 ครบถ้วนเป็นปกติ เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ไม่สงสัยในความดีของท่านมีอารมณ์ตั้งมั่นว่า… “ถ้าตายไปจากคนชาตินี้ขอไปนิพพานจุดเดียว พยายามละความโลภ…โกรธ…หลง”

“หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ” ศิษย์เอกหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือด้วย “วิปัสสนากรรมฐาน” ด้วย “ธรรมปฏิบัติ” ของท่านที่ทรงคุณค่า…ที่ลูกศิษย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศถือนำไปปฏิบัติ ด้วยบุญบารมีของท่านเป็นประจักษ์ บางคนก็ว่า…ท่านมีญาณหยั่งรู้สาระจิต แต่ที่แน่ๆ ท่านรับการถ่ายทอดวิชาเป่ายันต์เกราะเพลิงมาจาก…“หลวงพ่อปาน”

“มหาแก้ววิหาร 100 เมตร”…วัดท่าซุง อันสงบเย็น ทุกวันจะมี… “กระแสศรัทธา” จากผู้คนทั่วสารทิศเดินทางเข้ามา กราบไหว้บูชาเพื่อเป็นสิริมงคลกับตนเองและครอบครัว ได้สัมผัสกับความอิ่ม เย็น สิ่งเตือนใจ สัจธรรมชีวิตที่บางคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นสัมผัสที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนยากหยั่งที่จะอธิบายได้ บางคน…เข้ามาแล้วเกิดมุมมองที่แปลก เปรีได้เห็นเงาสะท้อนธรรมอันยิ่งใหญ่ ความอิ่มเอมของพระพุทธชินราชจำลอง แต่ให้รู้ไว้ด้วยว่า…มหาวิหารแห่งนี้มีเวลาเปิดปิดชัดเจน…ช่วงเช้า 09.00-11.45 น. แล้วปิดเจริญพระกรรมฐานถึง 14.00 น. เปิดช่วงบ่ายอีกครั้ง 14.00-16.00 น. แล้วปิดทำวัตรเย็นและเจริญพระกรรมฐาน

ด้วยหลวงพ่อฤๅษีลิงดำเป็น “อริยสงฆ์” บรรดาลูกศิษย์ใกล้ชิดย่อมจะรับรู้ถึง “ศรัทธาบารมี” ของหลวงพ่อ ย่อมเข้าใจคำว่า… “ศรัทธานำมาซึ่งปาฏิหาริย์” หรือเกิด “ศรัทธา เหนือปาฏิหาริย์” ได้โดยตั้งใจมั่นในการเจริญ “สมาธิ” ด้วยการมอบตัวเป็น “ศิษย์” ของท่านหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ จากขั้น 3
สู่ขั้น “ศิษย์เอก” ให้รู้ เข้าใจ เข้าถึง และปฏิบัติได้…ตามแนวทางดังกล่าวคือ… “ศีล สมาธิ ปัญญา”… “ไตรสิกขา” นำมาซึ่งการ… “ละ โลภ โกรธ หลง” สู่ “นิพพาน” ในที่สุดไงเล่าครับ

ท้ายสุดนี้ ขอเผยแพร่คำทำนายของ “หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ” ในคำทำนาย “อนาคตของชาติ” ของหลวงพ่อ ตอนหนึ่งความว่า…

      “ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม         หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้
จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป                  เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา
คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น           แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา
ประเทศชาติผ่านวิกฤตด้วยศรัทธา   ยามเมื่อฟ้าสีทองผ่องอำไพ”

อนึ่ง : ผู้เขียน หนังสือพิมพ์มติชน และคนไทยทั้งประเทศ ขอบารมี “หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ” ประทานพรให้ประเทศไทยผ่านมรสุมใหญ่ๆ 3 ลูก คือ มรสุมลูกแรก “โควิด-19” มรสุมลูกที่สอง “ฟื้นฟูเศรษฐกิจ” มรสุมลูกที่สาม “ปัญหาการเมือง” ให้จงได้ เพื่อ “ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้” ไงเล่าครับ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image