ผู้เขียน | คอลัมน์หน้า 3 มติชน |
---|
อาการงูกินหาง ดัชนีชี้แนวโน้ม ระเบิดเวลาเศรษฐกิจ
26 พฤษภาคม
วันเดียวกันกับที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้ยืดเวลาในการบังคับใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไปอีก 1 เดือน
ในเหตุผลว่าเพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโควิด-19
ท่ามกลางเสียงคัดค้าน ทักท้วง
ว่ามาตรการที่เข้มงวดเกินความจำเป็น จะทำให้ภาวะเศรษฐกิจ และความเดือดร้อนเรื่องปากท้องของประชาชนยิ่งทรุดหนักลง
นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า เตรียมหารือกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เพื่อประมาณการจัดเก็บรายได้ในปี 2563 ใหม่
เนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้การจัดเก็บรายได้ในภาพรวมของกรม
โดยในช่วง 7 เดือนแรกของปีงบประมาณ (ต.ค.2562-เม.ย.2563)
จัดเก็บได้ต่ำกว่าเป้าที่ตั้งไว้ประมาณ 7 หมื่นล้านบาท
นายเอกนิติกล่าวว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน จะไปตามไล่บี้เก็บภาษีก็ไม่ใช่เรื่อง ก็จะไม่เน้นเป้าหมายเป็นหลัก แต่จะปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้กรมใช้เครื่องมือภาษีช่วยเหลือผู้ประกอบการและประชาชนมากขึ้น
โดยทางกรมอาจจะต้องมีการพิจารณามาตรการภาษีเพื่อช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการ ในช่วงฟื้นฟูหลังโควิด-19 โดยสั่งให้ทีมไปเตรียมแผนไว้ ส่วนการเลื่อนชำระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา นิติบุคคลออกไป รายได้ส่วนนี้ไม่ได้หายไปไหน เพราะจะกลับเข้ามาในช่วง ส.ค.
ซึ่งมาตรการนี้จะเป็นการช่วยให้ประชาชนผู้ประกอบการ มีเงินเหลือในกระเป๋าช่วงวิกฤตไปก่อน
ทั้งนี้ ผลจากมาตรการลดผลกระทบโควิด กรมลดอัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายที่มีอัตรา 3% เหลือ 1.5% ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.-30 ก.ย.2563 เสียรายได้ไปแล้ว 27,000 ล้านบาท
การเร่งคืนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไปแล้วกว่า 95% จากผู้ขอคืนทั้งหมดประมาณ 3 ล้านคน รวม 28,000 ล้านบาท
และเร่งคืนภาษีเงินได้นิติบุคคล 27,185 ล้านบาท
ขณะที่ นายศุภวุฒิ สายเชื้อ นักเศรษฐศาสตร์ที่ทำงานต่อเนื่องและเอาจริงเอาจังมากที่สุดคนหนึ่งในปัจจุบัน คาดการณ์ว่า
ปัญหาทางเศรษฐกิจจะปะทุขึ้นอย่างรุนแรงในราวอีก 5 เดือนข้างหน้า
หลังจากที่ครบกำหนดพักชำระหนี้ทั้งดอกเบี้ยและเงินต้น ของลูกค้าผู้กู้เงินกับสถาบันการเงินทั้งหลาย
เพราะลูกหนี้จะต้องหาเงินก้อนใหญ่มาชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยที่ตั้งค้างรับไว้
หากลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ สถาบันการเงินก็จะมีสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) หรือหนี้เสียมากขึ้น
ธนาคารแห่งประเทศไทยในฐานะผู้ดูแลกฎ จะยอมให้ผ่อนผันต่อไปอีกได้หรือไม่
เพราะการผ่อนผันนี้จะขัดกับหลักการของข้อตกลงมาตรฐานการเงินระหว่างประเทศ
ในขณะที่ยังไม่มีความชัดเจนจากภาครัฐ ว่าจะมีแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจ หรือทำให้บริษัทเอกชนกลับลุกขึ้นมามีรายได้จากการประกอบการได้อย่างไร
ในช่วง 150 วัน ที่จะถึงนี้
นี่คือ “ระเบิดเวลา” ที่เห็นชัดเจนอยู่ข้างหน้า
ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยการกวาดขยะเอาไว้ใต้พรม แล้วภาวนาว่าจะไม่มีใครมาเห็น
เพราะอาการไข้เศรษฐกิจปรากฏให้เห็นแล้วจากภาวะ “งูกินหาง” ข้างต้น
เมื่อบริษัทห้างร้านเปิดกิจการไม่ได้ ประชาชนทำมาหากินไม่ได้
รายได้จากภาษีอากรที่รัฐจัดเก็บก็จะลดน้อยถอยลงตามไปด้วย
ยิ่งลากให้ล่าช้าออกไปเท่าไหร่
ความเสียหายก็ยิ่งมากขึ้น การกอบกู้ฟื้นฟูก็ยิ่งทำได้ยากขึ้นเท่านั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากบริษัทห้างร้านทั้งหลาย “หมดสายป่าน” ต้องยุบกิจการหรือปลดพนักงานเพิ่มขึ้นอีก
รัฐจะจัดสมดุลอย่างไร
ระหว่างการควบคุมโรคให้อยู่ในระดับพอดี กับการแก้ไขปัญหาปากท้อง-เศรษฐกิจ
ที่ทรุดตัวลงไปอย่างหนักหน่วง-ทุกวัน