รื่นร่มรมเยศ : อย่าเพียงแต่ทำ ต้องทำเป็นด้วย : โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ขอนำเรื่องจริงและนิทานมาเล่าให้ฟังสองเรื่อง เพื่อเป็นคติเตือนใจสำหรับนักสู้ชีวิตทั้งหลาย
เรื่องแรกเป็นนิทานเซ็น มีพระหนุ่มรูปหนึ่งขึ้นไปนั่งกรรมฐานอยู่บนต้นไม้สามวันสามคืน ไม่ยอมลงมาฉันข้าวเหมือนพระอื่นๆ
อาจารย์เซ็นรูปหนึ่งเดินมาพบเข้าจึงถามว่า
“คุณทำอะไรอยู่บนนั้น”
“ผมกำลังนั่งสมาธิเพื่อเป็นพุทธะ (ผู้ตรัสรู้)” พระหนุ่มตอบอย่างภาคภูมิใจ
ได้ยินอย่างนั้น อาจารย์จึงคว้าก้อนหินข้างทางมาถูกับฝ่ามือจนหนังถลอกเลือดไหลซิบๆ พระหนุ่มถามว่า “นั่นท่านอาจารย์ทำอะไร”
“ผมกำลังถูให้ก้อนหินนี้เป็นกระจกเงาใส” อาจารย์ตอบ
“ท่านจะบ้าเรอะ ถูจนมือขาดก็เป็นกระจกไม่ได้” พระหนุ่มกล่าว
“แล้วคุณจะบ้าเรอะ นั่งจนกลายเป็นลิงก็เป็นพุทธะไม่ได้” อาจารย์สวนทันควัน
เรื่องที่สองเป็นเรื่องจริงที่ได้อ่านจากนิตยสารฉบับหนึ่ง สองแม่ลูกมีฐานะดีตระกูลหนึ่ง มีบ้านอยู่ริมคลองในกรุงเทพมหานครนี้เอง แม่อยู่กับบ้านเฉยๆ ไม่ได้ทำอะไร ลูกสาวเห็นว่าแม่เหงาไม่มีอะไรทำและตัวเองก็ไม่มีเวลาอยู่กับแม่เพราะมีงานทำล้นมือ จึงคิดหางานให้แม่ทำ
คลองหน้าบ้านนั้นเน่าเหม็น ชาวบ้านโยนขยะของเสียลงคลองทุกวัน เศษโฟมบ้าง พลาสติกบ้าง ลอยฟ่องเต็มคลอง ภาพและกลิ่นนี้คุ้นตา คุ้นจมูกทุกวัน ลูกสาวจึงคิดหางานให้แม่ทำ นั่นก็คือการเก็บขยะขึ้นจากคลอง
แม่มีลูกมือสองสามคน ช่วยกันเก็บขยะขึ้นจากคลองทุกวันวันละเล็กละน้อย จนหน้าบ้านสะอาด แล้วก็ลงเรือลำเล็กๆ ออกไปเก็บยังจุดอื่นไกลออกไป ติดต่อ กทม.ให้นำรถมาขนขยะไปทิ้ง
เดี๋ยวนี้คลองที่เคยเต็มไปด้วยขยะและส่งกลิ่นเหม็นก็ปลอดจากขยะ สะอาดขึ้น มีกลิ่นเหม็นลดลง เพราะความคิดและการลงมือทำของสองแม่ลูกนั้น ใครเห็นก็ชื่นชมว่าช่างรู้จักคิด รู้จักทำ
พระหนุ่มในนิทานถึงจะคิดแปลกๆ ทำแปลกๆ ก็ไม่นับว่าฉลาดคิด ฉลาดทำ เพราะความคิดและการกระทำนั้นไม่ถูกทาง ไม่เกิดผลสร้างสรรค์อะไร ยิ่งคิดยิ่งทำอย่างนั้นนานๆ ผลเสียก็จะเกิดขึ้นมาก
การคิดการทำอะไรแปลกๆ จะต้องเป็นการสร้างสรรค์ พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ คิดแล้วทำแล้วเกิดผลดีแก่ตนและสังคมส่วนรวมด้วย ดังกรณีสองแม่ลูกคิดลอกคลอง ดังเรื่องข้างต้น
ทุกวันนี้ยังมีอีกมากมายหลายร้อยเรื่องที่เราจะพึงช่วยกันคิดช่วยกันทำคนละไม้คนละมือ เพื่อสร้างสรรค์สังคมให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น
ทุกคนช่วยได้ ทำได้ ถ้าคิดจะช่วย คิดจะทำ