ผู้เขียน | สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน |
---|
สถานีคิดเลขที่ 12 : เปลี่ยนหัวหน้า
พรรคพลังประชารัฐ แกนหลักของรัฐบาลชุดปัจจุบัน กำลังจะเปลี่ยนแปลงหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรคอย่างค่อนข้างแน่ แต่ไปๆ มาๆ กระแสนี้ชักลุกลาม ขยายวงไปถึงพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ อีกด้วย เกิดข่าวสะพัด อยากเปลี่ยนหัวหน้าพรรคแบบพลังประชารัฐบ้าง
แต่นั่นแหละ แกนนำหลักๆ ของพรรคดังกล่าวออกมาปฏิเสธกันพัลวันว่า เป็นไปไม่ได้ ก็ต้องจับตามองกันต่อไป
ส่วนพรรคพลังประชารัฐนั้น ต้องเรียกว่า 99.99% สำหรับโอกาสที่จะมีหัวหน้าพรรคคนใหม่ชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ขณะที่เลขาธิการพรรคคนใหม่ น่าจะเป็น นายสันติ พร้อมพัฒน์ หรือไม่ก็ นายอนุชา นาคาศัย คนใดคนหนึ่ง
มีการขีดเส้น กำหนดวันเวลาเอาไว้แล้วด้วย คาดว่าจะจบสิ้นภายในเดือนมิถุนายนนี้แหละ
เปลี่ยนแปลงภายในพรรคเสร็จ ขั้นต่อไปก็คือ การปรับคณะรัฐมนตรี จะต้องเสร็จในต้นเดือนกรกฎาคม
โดยเป้าหมายการปรับอยู่ที่ทีมเศรษฐกิจแน่นอน
ขณะที่ทีม 4 กุมารนั้น คงจะหมดบทบาทจากการคุมพรรค แล้วก็ต้องหมดหน้าที่ในรัฐบาลไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
พร้อมกับมีชื่อนายแบงก์ใหญ่ เป็นตัวยืน ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนใหม่ของรัฐบาล โดยเป็นคนที่ช่วยงานรัฐบาลมาตลอดอยู่แล้ว ในช่วงวิกฤตโควิด
ส่วนสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นภายในพรรคพลังประชารัฐ การเมืองภายใน ความขัดแย้งภายใน การไม่เข้าใจและไม่เข้าถึงเหล่า ส.ส.ในพรรค เป็นเรื่องคุกรุ่นมานาน
อีกส่วนหนึ่ง คือ ปัญหาอำนาจการตัดสินใจทางการเมือง ระหว่าง 2-3 บิ๊ก ที่เริ่มมองไม่ตรงกันในบางกรณี
ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ จะทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าใครกันแน่คือบิ๊กตัวจริงของการเมืองไทยยุคนี้
แน่นอนว่า แกนหลักของรัฐบาลนี้ก็คือ 3ป. และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทั้ง 3ป. จะไม่มีวันทิ้งกันเด็ดขาด เพียงแต่มาถึงจุดที่จะต้องเอาให้ชัด ว่าหนึ่งในนั้นจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจเด็ดขาด
ขณะเดียวกัน เป็นที่รู้กันว่าบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตรนั้น มีสไตล์การเมืองที่เปิดกว้างกว่า พร้อมจะพูดคุยได้กับทุกฝ่ายทุกขั้ว และเป็นที่รู้กันว่า ที่ผ่านมาบิ๊กป้อมกับขั้วตรงข้ามก็สามารถคุยกันได้ในบางเรื่อง มีเป้าหมายเพื่อลดบรรยากาศความขัดแย้งให้เบาลงไป
จนทำให้เกิดข่าวที่มาพร้อมๆ กับการจะขึ้นกุมพรรคของบิ๊กป้อมว่า จะมีพรรคใหญ่เข้าร่วมรัฐบาล
แต่สุดท้ายก็ยืนยันได้ว่า ถ้านายกฯยังเป็นคนเดิม คงไม่มีพรรคอื่นเข้าร่วมอย่างแน่นอน จุดยืนของพรรคฝ่ายประชาธิปไตยยังเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน
นอกจากเรื่องการเมืองภายในรัฐบาล ที่ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนแล้ว อีกสาเหตุที่มีส่วนกดดันอย่างมากคือ คะแนนนิยมของประชาชนในสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา
การควบคุมโรคเหมือนดี แต่ด้านเศรษฐกิจไม่ดีแน่ และการเยียวยาก็ไม่เป็นที่พึงพอใจของประชาชนจำนวนไม่น้อย
หนักกว่านั้นคือ มหาวิกฤตเศรษฐกิจที่รออยู่เบื้องหน้า
ต้องยอมรับว่านี่เป็นอีกปัจจัยที่ต้องเปลี่ยนแปลงในพลังประชารัฐและ ครม.
ถ้าผลงานโควิดดีเลิศไปทั้งหมด ก็คงไม่ต้องมาเปิดศึกภายในกันเช่นนี้
แถมยังลามไปถึงอีกพรรค ที่คงเพราะเสียคะแนนนิยมไปจมหูช่วงโควิดด้วย จนเกิดกระแสอยากเปลี่ยนแปลงบ้างดังกล่าว