บทนำ : วิกฤตยังอีกนาน
นางเบอร์กิท ฮานสล์ ผู้จัดการธนาคารโลกประจำประเทศไทย ได้เผยแพร่รายงานเรื่อง ผลกระทบที่สำคัญของโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจไทย ความเปราะบางของครัวเรือน และผู้ประกอบการ โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2563 จะได้รับผลกระทบที่รุนแรงจากโควิด-19 โดยอาจหดตัวกว่า 5% และน่าจะใช้เวลามากกว่า 2 ปี กว่าจะกลับคืนสู่ระดับผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (GDP) ก่อนที่จะประสบปัญหาโควิด-19 ทั้งนี้ การระบาดของเชื้อโควิด-19 ส่งผลให้ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2563 มีคนตกงานกระจายไปทั่ว และกระทบต่อครัวเรือนชนชั้นกลาง และครัวเรือนที่ยากจน
ธนาคารโลกมองว่า แม้ไทยจะประสบความสำเร็จในการชะลอการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ภายใน 3 เดือนที่ผ่านมา แต่ผลกระทบที่มีต่อเศรษฐกิจนั้นรุนแรง โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการที่เกือบจะห้ามนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ส่วนการส่งออกในปีนี้คาดว่าจะหดตัวประมาณ 6.3% เป็นการชะลอตัวลงรายไตรมาสที่แรงที่สุดในรอบ 5 ปี เนื่องจากความต้องการสินค้าไทยในต่างประเทศยังคงอ่อนแอ ผลจากการชะลอตัวเศรษฐกิจโลก และคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนจะลดลง 3.2% กว่าไทยจะกลับคืนสู่ปกติก่อนการระบาดของโควิด-19 ก็ต้องรอไปถึงกลางปี 2565
ขณะที่นายดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย มองว่าความเสี่ยงในช่วงครึ่งปีหลัง มีปัจจัยเสี่ยงหลัก 3 เรื่อง คือ ความกังวลในเรื่องของการระบาดของโควิด-19 รอบที่ 2 ที่จะส่งผลให้หลายประเทศต้องมีการชัตดาวน์ประเทศ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจโลกแย่ลง, สงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐ และเสถียรภาพระบบการเงินของโลก ที่ในหลายประเทศ ตราสารหนี้เอกชน เริ่มมีการผิดนัดชำระหนี้ และจากการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2/2563 จะขยายต่ำที่สุดในปีนี้ โดยธนาคารแห่งประเทศไทยคาดว่าจะหดตัวในระดับ 2 หลัก หรือมากกว่าลบ 10% แต่ไม่เกินลบ 20% และคาดว่าทั้งปีจะหดตัว ลบ 8.1% ทั้งนี้ เศรษฐกิจในเดือนพฤษภาคมน่าจะอยู่ในจุดต่ำสุด และคาดว่าไตรมาส 3/2563 เศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้น ทั้งมุมมองของต่างประเทศ และมุมมองของไทย ยืนยันตรงกันว่าสถานการณ์ประเทศไทยยังไม่พ้นวิกฤต และกว่าจะคืนกลับไปสู่ภาวะปกติได้ต้องใช้เวลาอีกนาน ดังนั้น ทุกภาคส่วนต้องระมัดระวังและเตรียมรับมือกับวิกฤตที่เกิดขึ้นโดยไม่ตกอยู่ในความประมาท
