ผู้เขียน | สถานีคิดเลขที่ 12 |
---|
สถานีคิดเลขที่ 12 : ฮ่องกง 2020 โดย ชุมฉันท์ ชำนิประศาสน์
สําหรับคนยุค 70 หรือ 80 ต้นๆ ขึ้นไป ความผูกพันที่มีกับฮ่องกงเป็นพิเศษ คือวัฒนธรรมความบันเทิง ไม่ว่ายุทธจักรนิยายจีน หนังจีน ละครโทรทัศน์ หรือเพลงจีนกวางตุ้ง
ยุคทองของวงการบันเทิงฮ่องกงอยู่ในช่วงนี้ เป็นช่วงของการส่งออกวัฒนธรรมที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง
แทบไม่มีใครไม่รู้จัก เจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ กระบี่ไร้เทียมทาน หรือมังกรหยก ความนิยมนี้ทำให้ผู้จัดผังรายการทีวีไทย เลือกฉายซีรีส์จากฮ่องกงช่วงเวลาไพรม์ไทม์อยู่พักใหญ่
กระทั่งเมื่อกระแสความนิยมซาลงตั้งแต่ช่วงกลางทศวรรษ 90 บวกกับคุณภาพโปรดักชั่นและบทหนังและละครทีวีฮ่องกงด้อยลงไป นานๆ ทีจึงจะมีหนังหรือซีรีส์บางเรื่องโด่งดังเปรี้ยงปร้างในระดับอินเตอร์ออกมา
ที่น่าห่วงตอนนี้ คือ ชะตากรรมของฮ่องกงในสิ่งแวดล้อมทางการเมืองแบบใหม่จะส่งผลต่อการสร้างสรรค์ผลงานความบันเทิงของฮ่องกงอย่างไร
ความสำเร็จของวงการบันเทิงฮ่องกงที่เกิดขึ้นในยุคทอง เป็นช่วงเวลาที่ฮ่องกงยังอยู่กับอังกฤษ ซึ่งปล่อยให้ฮ่องกงเติบโตเป็นศูนย์กลางธุรกิจของภูมิภาคเอเชีย และผู้คนมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกตามแนวทางประชาธิปไตยเหมือนที่อังกฤษมี
บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมเหล่านี้น่าจะเป็นส่วนสำคัญให้ฮ่องกงสร้างสรรค์งานบันเทิงออกมาสนุกถูกใจผู้ชม เพราะความมีเสรีภาพช่วยเปิดโลกแห่งจินตนาการและกล้าทดลองทำสิ่งใหม่ๆ ได้มากกว่าการอยู่ในกรอบ
ส่วนนักแสดงตอนนั้นยังไม่มีบริการเทคโนโลยีศัลยกรรมรองรับที่จะทำให้ใบหน้าเรียวเป็นรูปไข่ จมูกโด่งแหลม ตากลมโต หรือปากอวบอิ่มได้ออกมาเป็นพิมพ์เดียวกันแบบในยุคนี้ แต่กลับสร้างจุดเด่นเป็นซุปเปอร์ สตาร์
นับจากยุค 2010 เป็นต้นมา เหตุการณ์เด่นที่คนนอกรับรู้เกี่ยวกับฮ่องกง ไม่ใช่เพียงเป็นศูนย์กลางธุรกิจ สถานที่ช้อปปิ้ง อาหารอร่อยๆ หรือถิ่นที่เคยเป็นยุคทองของหนังจีน แต่ยังเป็นการประท้วงที่นำโดยคนรุ่นใหม่ที่พยายามจะรักษาอิสระเสรีภาพและความเป็นตัวตนของชาวฮ่องกงไว้
การประท้วงใหญ่เมื่อปี 2019 ลากยาวมาถึงปีนี้ จุดติดด้วยร่างกฎหมายส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนกับจีน และดูเหมือนลงเอยเหมือนกับเป็นชัยชนะของผู้ประท้วง เมื่อรัฐถอนร่างกฎหมายออกไป
แต่หลังการพักยกเหมือนคั่นโฆษณาด้วยสถานการณ์โรคระบาดโควิด เหตุการณ์ในฮ่องกงก็พลิกผันฉับไว ด้วยกฎหมายใหม่ ว่าด้วยความมั่นคง
ตอนนี้ทางการฮ่องกงไม่จำเป็นต้องส่งผู้ร้ายข้ามแดนไปแผ่นดินใหญ่อีกแล้ว เพราะกฎหมายนี้เปิดช่องทางให้จัดการ “ผู้ร้าย” ของจีนได้ถึงถิ่น และทำอะไรได้อีกมากมาย
แม้ชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาจะออกแอ๊กชั่นต่อต้านการลงมือของจีน ว่าไม่รักษาสัญญาที่จะให้ฮ่องกงอยู่ภายใต้เงื่อนไข “หนึ่งประเทศสองระบบ” ในช่วง 50 ปี แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเหตุการณ์จะพลิกผันได้ในช่วงนี้ จากอีก 27 ปีที่เหลือ
ถ้าฮ่องกงจะสร้างหนังที่สะท้อนความเป็นไปและเปลี่ยนแปลงดังกล่าวก็น่าหวั่นใจว่าอาจไม่ผ่านการเซ็นเซอร์
ดีไม่ดีเรื่องราวจอมยุทธ์ที่ต่อต้านทางการแล้วหนีไปอยู่เกาะ ก็อาจไม่ผ่านเช่นกัน