บทนำ : ปรับ-ตอบโจทย์
นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี นายอุตตม สาวนายน รมว.การคลัง นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.การอุดมศึกษาฯ และ นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งแล้ว เมื่อเช้าวันที่ 16 ก.ค. เพื่อเปิดทางให้นายกรัฐมนตรี ปรับปรุงคณะรัฐมนตรี ลดแรงกดดันทางการเมืองที่มีต่อนายกรัฐมนตรี หลังจากที่พรรคพลังประชารัฐ มีการเปลี่ยนโครงสร้างภายในพรรค และมีกระแสเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ปรับ ครม.
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้สัมภาษณ์ว่า การลาออกของนายสมคิดและ 4 กุมาร เนื่องจากสถานการณ์การเมืองเปลี่ยนแปลงไป เสียดายแต่ก็จำเป็น ตนเองก็ไม่คุ้นเคยแบบนี้ แต่จำเป็นต้องตัดสินใจ เราจากกันด้วยดี ไม่มีการให้ร้ายอะไรซึ่งกันและกัน ผมไม่เคยทำร้ายใคร จากนี้จะต้องปรับ ครม. แต่ต้องเป็นไปตามขั้นตอนที่กำหนด คือต้องไปถามคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรี ว่าเขาจะมาเป็นหรือเปล่า ต้องไปติดต่อคนเพราะเขาก็ยังไม่ตอบรับกันเท่าไหร่ ยังไม่ตอบกันทันที เมื่อถามว่าจะใช้ระยะเวลาเท่าไหร่ในการปรับ ครม.นายกฯกล่าวว่า ไม่เกินเดือน ส.ค. ส่วนจะมีคนนอกหรือไม่ นายกฯระบุว่า ต้องมีในสัดส่วนของนายกรัฐมนตรี
ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ สังคมกำลังจับตาว่า พล.อ.ประยุทธ์จะแต่งตั้งบุคคลมาทำหน้าที่แทนตำแหน่งที่ว่างอย่างไร ขณะที่สถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศ อยู่ในสภาพวิกฤต ทรุดหนัก อันเป็นผลจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีกระแสข่าวว่า นายกฯได้ทาบทามบุคคลในวงการธุรกิจและเคยบริหารรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ เข้ามาทำหน้าที่รองนายกฯด้านเศรษฐกิจ กระทรวงการคลัง และกระทรวงพลังงาน แต่ยังต้องรอคำยืนยันที่ชัดเจน
การปรับ ครม.ครั้งนี้ จึงต้องตอบโจทย์ด้านเศรษฐกิจและตอบโจทย์การเมืองไปพร้อมกัน เนื่องจากจุดเริ่มต้นมาจากปัญหาทางการเมืองในพรรค ประเด็นสำคัญก็คือ บุคคลที่เข้ามาแทน จะต้องมีความสามารถ บริหารงานและแก้ปัญหาได้อย่างน่าเชื่อถือ เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากสังคม และมีผลต่อความนิยมทางการเมืองของรัฐบาล ซึ่งจะมีผลต่อการดำรงอยู่ของรัฐบาลต่อไป
