บทนำ : ปรับแผน
ดูจากจำนวนผู้ติดเชื้อโรคโควิด-19 ทั่วโลกแล้วสรุปได้ว่าสถานการณ์การระบาดยังคงน่าเป็นห่วง เพราะแต่ละประเทศมีจำนวนผู้ติดเชื้อมากขึ้น บางประเทศต้องประกาศล็อกดาวน์อีกครั้งหนึ่ง เพื่อสกัดมิให้เกิดการระบาดไปมากกว่านี้ การระบาดที่ยังไม่ยุติหรือบรรเทาลง มีผลต่อประเทศไทย โดยเฉพาะการท่องเที่ยว เนื่องจากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้คนไทยหวั่นว่า หากเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามา จะไม่สามารถสกัดการระบาดได้ กระทั่งรัฐบาลได้ชะลอแผนการเปิดรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติซึ่งจะมีผลต่อรายได้ของประเทศต่อไป
ขณะที่ความคืบหน้าการทดลองวัคซีนของไทย ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กว่า การพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ที่สามารถรู้ผลได้ภายในปลายปี 2563 ถือว่าทำเร็วกว่าปกติเป็น 10 เท่า และจะเป็นการสร้างประวัติศาสตร์การผลิตวัคซีน เพราะในอดีตการคิดค้นวัคซีน จะใช้บุคคลคนเดียว หรือกลุ่มเล็ก แต่ในปัจจุบัน เป็นไปไม่ได้แล้ว การทำงานจะต้องทำเป็นทีมใหญ่ ใช้หลายศาสตร์มารวมกัน เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากที่สุด
ความคืบหน้าล่าสุดที่ ศ.นพ.ยงระบุว่า คือ การพัฒนาวัคซีนนั้นจะรู้ผลได้ภายในปลายปี 2563 ซึ่งถือว่าเป็นการทดลองที่ทำกันอย่างรวดเร็วมากที่สุดแล้ว แต่ผลการทดลองยังไม่ทราบว่าจะออกมาได้ผลดีหรือไม่ เท่ากับว่าในช่วงเวลานี้จนถึงสิ้นปี 2563 รัฐบาลต้องมีแผนรองรับสถานการณ์โรคโควิด-19 ระบาดที่ยืดเยื้อ โดยเฉพาะสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่เริ่มส่งผลกระทบ เนื่องจากมาตรการระยะแรกที่รัฐบาลเยียวยากำลังหมดลง ภาคเอกชนเริ่มเป็นห่วงว่าเศรษฐกิจจะตกต่ำหนัก เช่นเดียวกับปัญหาการว่างงานที่เกรงว่าจะรุนแรงขึ้น พร้อมกันนั้นยังมีกระแสข่าวแพร่กระจายอยู่บ่อยๆ เรื่องรัฐบาลเองก็เริ่มขาดงบประมาณในการดำเนินการ
เท่ากับว่าสถานการณ์วิกฤตจากพิษโควิด-19ได้พัฒนาไปอีกก้าวหนึ่งแล้ว แม้ว่าหน่วยธุรกิจในประเทศจะสามารถประกอบธุรกิจกันได้และตัวเลขเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับตอนช่วงล็อกดาวน์จะแลดูดีขึ้น แต่หากสถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจยืดเยื้อ ย่อมเกิดคำถามว่าประเทศไทยจะสามารถดำรงอยู่กันอย่างไร ดังนั้น การประชุมของ ศบศ. รวมถึงการหารือของ ครม. จึงควรจะอธิบายการปรับแผนเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น และวิธีการดำรงอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถตั้งรับได้อย่างเต็มกำลัง
