ผู้เขียน | เดินหน้าชน |
---|
ปัญหาความรุนแรงในโรงเรียนโดยเฉพาะกรณี “ครู” ลงโทษนักเรียนเกินกว่าเหตุ
ยังมีให้เห็นอยู่ในระบบการศึกษาของบ้านเราซ้ำแล้วซ้ำอีก
แม้ว่ากระทรวงศึกษาธิการจะมีบทลงโทษอยู่แล้ว ทั้งการสอบสวนทางวินัย และพิจารณาการเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู
สัปดาห์ก่อนที่ประชุมคณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพหรือ “กมว.” ที่อยู่ภายใต้คุรุสภา ที่มีบทบาทหน้าที่ในการพิจารณา สั่งเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู
มีมติให้ตรวจสุขภาพจิตของครูที่ทำร้ายนักเรียนเกินกว่าเหตุจนถูกพักใบอนุญาตฯ ชั่วคราว ก่อนจะคืนใบอนุญาตฯให้เช่นเดิม
มาตรการนี้ นับเป็นก้าวใหม่ในแวดวงการศึกษา เพราะก่อนหน้านี้ กมว. และกระทรวงศึกษาธิการ มักถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าล้มเหลวในการจัดการกับครูที่ทำร้ายนักเรียนเกินกว่าเหตุ
กระบวนการเพิกถอนใบอนุญาตฯ ก็ล่าช้า เมื่อเรื่องเงียบก็กลับมาสอนได้ตามปกติ
มาตรการตรวจสุขภาพจิตของครูนั้น นายเอกชัย กี่สุขพันธ์ ประธาน กมว. ระบุว่า “กรณีครูที่ทำร้ายนักเรียนรุนแรงเกินกว่าเหตุ กมว.จะตีความไว้ก่อน ว่าครูรายนั้นมีความผิดปกติทางจิต
ก่อนมาขอต่อใบอนุญาตฯ ครูที่ถูกพักใบอนุญาตฯ เหล่านี้ จะต้องพบจิตแพทย์เพื่อตรวจสอบสุขภาพจิตก่อน
เพื่อให้มั่นใจว่าครูคนนั้นไม่มีความผิดปกติ สามารถเป็นครูได้จริง”
ปัจจุบันตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษา พ.ศ.2548 มีแนวทางการลงโทษแก่นักเรียนที่กระทำผิดอยู่แล้ว 4 สถาน ตามความหนักเบาของการกระทำผิด
1.ว่ากล่าวตักเตือน กรณีกระทำความผิดไม่ร้ายแรง
2.ทำทัณฑ์บน ใช้ในกรณีที่ประพฤติตนไม่เหมาะสมกับสภาพนักเรียนหรือนักศึกษา
3.ตัดคะแนนประพฤติ
และ 4.ทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ใช้ในกรณีที่กระทำความผิดที่สมควรต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
ส่วนในข้อ 6 ห้ามลงโทษนักเรียนและนักศึกษาด้วยวิธีรุนแรง หรือแบบกลั่นแกล้งหรือลงโทษด้วยความโกรธหรือด้วยความพยาบาท
แม้ว่าการนำมาตรการตรวจสุขภาพจิตมาใช้จะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะลดปัญหาการลงโทษนักเรียนเกินกว่าเหตุได้
แต่ก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ
เป็นไปได้หรือไม่หากกระบวนการคัดเลือกคนที่จะเข้ามาเป็นแม่พิมพ์ของชาติ
จะกำหนดให้ทุกคนต้องผ่านการทดสอบสุขภาพจิตจากแพทย์
เพื่อให้มั่นใจว่าไม่มีความผิดปกติ และเป็นครูได้