จีนบรรลุเป้าหมาย‘เศรษฐีพันล้าน’ เจริญรอยปณิธาน‘เติ้ง เสี่ยวผิง’ : โดย ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช
จากการประกาศครั้งล่าสุดของกลุ่มบริษัทการเงิน UBS AG สวิตเซอร์แลนด์ ปรากฏว่า มีมหาเศรษฐีระดับพันล้านเกือบร้อยละ 40 มาจากประเทศจีน ครอบครองสินทรัพย์ของโลกร้อยละ 16.4 ความเจริญเติบโตรวดเร็วยิ่ง เทียบกับเมื่อ 10 ปีก่อนเพิ่มขึ้นถึง 9 เท่าตัว
เป็นเรื่องไม่ธรรมดา
หากพินิจในทางตรรกะ เราไม่ควรสนใจผู้ใดเป็นมหาเศรษฐี แต่ควรต้องศึกษาเกี่ยวกับปัจจัยที่ทำให้พวกเขาเหล่านั้นร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี ทั้งนี้หมายความรวมถึงนโยบายของรัฐบาล ตลอดจนบรรยากาศในการทำธุรกิจและเทคโนโลยีแนวใหม่
และที่สำคัญที่สุดคือ รัฐบาลใช้มาตรการใดทำให้ช่องว่า
ระหว่างความรวยกับความจนลดน้อยถอยลง และดลบันดาลให้ประเทศจีนกลายเป็นบ่อเกิดของเศรษฐีพันล้าน
เป็นเรื่องน่าศึกษา
มหาเศรษฐีทั่วโลกหมุนเวียนสับเปลี่ยน ส่วนใหญ่เกิดจากผลของเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่อันเป็นพฤติเหตุ เป็นต้นว่าสงครามโลกครั้งที่ 2 วิกฤตน้ำมัน เศรษฐกิจสึนามิ
วิกฤตไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ก็เช่นเดียวกัน พฤติเหตุพฤติกรรมเจือสมกัน
ในขณะที่การสำรวจของกลุ่ม UBS AG กระชั้นกับการระบาดโรคไวรัสสายพันธุ์ใหม่ กล่าวคือ ตั้งแต่การเริ่มต้นระบาดของไวรัสถึงสิ้นเดือนกรกฎาคม ปรากฏว่างมหาเศรษฐีระดับพันล้านของประเทศจีนได้เพิ่มจาก 389 คนเป็น 415 คน
เป็นการสะท้อนให้เห็นเป็นประจักษ์ว่า ประเทศจีนได้หลุดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจอันถูกกระทบจากโรคระบาด ในขณะที่ประเทศในยุโรปและสหรัฐยังตกอยู่ในวังวนของไวรัสระบาด
แม้พิเคราะห์ถึงปัจจัยของการระบาดของไวรัส เป็นเพียงเหตุการณ์บังเอิญ
แต่สาเหตุที่มหาเศรษฐีจีนได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วมิใช่เหตุการณ์บังเอิญ เหตุผลคือ
ปี 2009 มหาเศรษฐีพันล้านจีนมีสินทรัพย์รวมเพียง 1.349 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
ปี 2020 สินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นถึง 1.68 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
ระยะเวลาเพียง 10 ปีเศษ จำนวนมหาเศรษฐีพันล้านของจีนสูงขึ้นมาเป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐ เทียบเท่ากับร้อยละ 38 ของโลก
เป็นประเด็นที่ประเทศต่างๆ ในโลกให้ความสนใจ สนใจว่า อะไรที่เป็นปัจจัยทำให้ร่ำรวย
และก็เป็นประเด็นที่คนจีนแผ่นดินใหญ่ควรต้องศึกษาอย่างยิ่ง
หากดูจากภาวการณ์รอบโลก ธุรกิจที่ทำให้ร่ำรวยมากสุดคือ
เทคโนโลยี การแพทย์และอนามัย ในขณะที่จีนก็ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน กล่าวคือ
1 เทคโนโลยีจีน ปี 2020 มหาเศรษฐีพุ่งขึ้นจาก 68 คน เป็น 234 คน
1 การแพทย์และอนามัยจีน มหาเศรษฐีจาก 48 คน เพิ่มเป็น 167 คน
กรณีเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า การพัฒนาของประเทศจีนได้เดินไปในทิศทางเดียวกับสากลโลก มีฟุตเวิร์กดีมาก และกำลังเต้นจังหวะ Quick step
จีนสามารถฝ่ากระแสคลื่นลมไปได้ และยืนอยู่แถวหน้าของเวทีโลก
เป็นความภูมิใจของประชาชนจีน
ย้อนหลังมองอดีต เมื่อเริ่มแรกปฏิรูปเปิดประเทศปี 1978
แม้จีนขาดสภาพคล่องทางด้านการเงินการคลัง
แต่ก็ยังพยามยามทำการพัฒนาทางด้านเทคนิคและการศึกษาด้วยความมานะบากบั่น
วันนี้ จีนมีความก้าวหน้าในทุกด้าน อาทิ วิศวกรรมการบินและอวกาศ เทคนิคการสื่อสารโทรคมนาคม จีนได้เบียดเข้าเวทีโลกเรียบร้อย และอยู่แนวหน้าของโลกด้วย
ก็เพราะเทคนิคดังกล่าว เป็นฐานในการผลิตสินค้าและธุรกิจบริการ
วันนี้จีนเป็นประเทศที่ผลิตวิศวกรมากที่สุดในโลกต่อปี นักเรียนจบมัธยมศึกษาตอนปลายสามารถเรียนรู้เทคนิคการผลิตอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นผู้ชำนาญการ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้จีนกลายเป็นเพชรน้ำหนึ่งของวงการผลิตสินค้า มีอยู่สมัยหนึ่งเรียกกันว่าโรงงานโลก
นับตั้งแต่จีนได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก (WTO) ปรากฏว่า บรรยากาศการประกอบธุรกิจในแผ่นดินใหญ่ได้เข้าสู่ระบบมากขึ้น สอดคล้องกับหลักการค้าสากลมากขึ้น
ปฏิบัติการดังกล่าวข้างต้น ก็เป็นสาเหตุ 1 ของนักธุรกิจจีนที่สร้างความร่ำรวยให้แก่ตน
มีความรุ่งเรืองทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
แต่วันนี้ธุรกิจจีนถูกสกัดด้วยสหรัฐและยุโรป การเติบโตจึงมีขีดความจำกัด
เหตุการณ์ปัจจุบันจึงต่างไปจากอดีต
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์ และ Fin Tech อันหมายถึงธุรกิจทางด้านการเงินและเทคโนโลยีของจีน ก็ยังเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ และสร้างความร่ำรวยให้แก่คนจีนมากขึ้นไปอีก
10 ปีที่ผ่านมา มหาเศรษฐีระดับพันล้านจากประเทศจีนแจ้งเกิดมากที่สุด
“เติ้ง เสี่ยวผิง” เคยกล่าวไว้ว่า “หวังให้คนส่วนหนึ่งรวยก่อน เพื่อช่วยให้ผู้อื่นรวยตาม และในที่สุดก็จะได้รับอานิสงส์ร่วมกัน”
บัดนี้ เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ยาวไกลของ “เติ้ง เสี่ยวผิง” ย่อมต้องถือว่าได้บรรลุไประดับ 1 แล้ว
ประเด็นจึงมีอยู่ว่า จะต้องทำอย่างไรจึงจะให้รวยกันทั่วหน้า
หากรัฐบาลลำพังอาศัยเงินภาษีของประชาชน มาช่วยเหลือคนที่ยังไม่รวย ให้มีหลักประกันในการดำรงชีพและการศึกษานั้น คงยังไม่พอเพียง
แม้ประวัติศาสตร์จีนได้อ้างอิงการสะสมคุณธรรมประพฤติดี
และแม้ปัจจุบันประเทศตะวันตกได้สนับสนุนงานบุญการกุศล
แต่เป็นสัจธรรมที่สอนคนให้ช่วยเหลือเกื้อหนุนคนที่อ่อนแอให้รวยขึ้นมาเช่นกัน
ส่วนคำว่า “กุศล” นั้น มิใช่เรื่องที่มีระบบ หากเป็นเรื่องของจิตใจ อันเกี่ยวกับกระทำการใดแล้วทำให้จิตใจของตนสูงขึ้น ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่แสดงความรับผิดชอบต่อสังคมอีกโสตหนึ่ง
แต่การที่จะทำให้ประชาชนจีนทุกคนรวยขึ้นมา คงไม่อยู่ในวิสัยที่เป็นไปได้
แต่อย่างน้อยที่สุดก็ช่วยเหลือคนอีกส่วน หนึ่งให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นกว่าแต่เก่าก่อน
และอย่างน้อยที่สุดก็น่าจะทำให้ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน
ลดน้อยลงไปบ้างตามควรแก่กรณี
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช