การเยือนใต้ของประธานาธิบดีสี จิ้นผิง เมื่อกลางเดือนตุลาคม ได้กล่าวสุนทรพจน์ที่กินใจอยู่ 2 ประเด็นในขณะที่ตรวจราชการที่เมืองเฉาโจว (แต้จิ๋ว) มณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) และร่วมงานฉลองครบรอบ 40 ปีแห่งการสถาปนาเขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้น หนึ่ง ที่เฉาโจว ให้เดินบนเส้นทางพึ่งพาตนเองที่มีมาตรฐานสูงกว่าเดิม
สอง ที่เซินเจิ้น ต้องผลักดันการปฏิรูปเปิดกว้างอย่างต่อเนื่อง
ล้วนเป็นการบ่งบอกในเชิงสัญลักษณ์ว่า บัดนี้เรากำลังอยู่ในห้วงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนในรอบ 100 ปี
วลี “พึ่งพาตนเอง” ชวนให้คิดถึงคำขวัญในสมัยปฏิวัติทางวัฒนธรรม โดยคาดเดากันว่า ประเทศจีนจะกลับไปย่ำรอยเก่าหรือไม่ รอยเก่านั้นคือ ปิดประเทศ
หากพิเคราะห์ในทางตรรกะ วันนี้ภายในแผ่นดินใหญ่กระแสปฏิวัติทางวัฒนธรรมสิ้นสุดลงแล้ว เพราะว่า ระบบห่วงโซ่โลกาภิวัตน์ไม่เปิดโอกาส กล่าวคือไม่ว่าประเทศใดในโลกไม่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจได้อย่างโดดเดี่ยว
หลายปีที่ผ่านมา สหรัฐทำการสกัดจีนอย่างเต็มรูปแบบ
ท่ามกลางวิกฤตไวรัสระบาด ตลอดจนการแข่งขันชิงชัยการเลือกตั้งประธานธิบดีสหรัฐ เป็นเหตุให้ความสัมพันธ์จีน-สหรัฐตกต่ำสุดขีดในรอบหลายสิบปี กระทบสถานการณ์ทั่วโลก สรุปโดยรวม เพราะความเจริญเติบโตของจีน กระทบถึงความเป็นใหญ่ของสหรัฐเกี่ยวกับการเป็นผู้นำของระเบียบสากล ทั้งนี้ สหรัฐต้องการสกัดกั้นจีนมิให้ร่วมสร้างระเบียบสากล คือ ความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยปรากฏในรอบ 100 ปี
ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร เซินเจิ้นก็ต้องพัฒนาต่อไปได้ ปฏิเสธมิได้ว่า ความก้าวหน้าของเซินเจิ้น ได้รับอานิสงส์จากนโยบายการปฏิรูปเปิดประเทศ และต่อแต่นี้ไป เซินเจิ้นจะต้องกลายเป็นเมืองนำร่องของนโยบายปฏิรูปเปิดประเทศในเชิงลึก
ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง กล่าวสุนทรพจน์พรรณาความทันสมัยของเซินเจิ้นได้เกิดจากพันธกิจของอดีต บัดนี้ ถึงเวลาที่ต้องปฏิรูปในเชิงลึก และผลักดันการพัฒนาให้มีคุณภาพที่สูงขึ้น ทั้งนี้หมายความรวมถึงการก่อสร้างสาธารณูปโภคระหว่างอ่าวกว่างตง ฮ่องกง และมาเก๊า
(Greater Bay Area) เพื่อให้บรรลุผลการพัฒนาแนวใหม่ตามนโยบายหนึ่งประเทศสองระบบ
รัฐบาลจีนกำหนดให้เซินเจิ้นเป็นเมืองนำร่องสำหรับการสร้างสาธารณูปโภคใน Greater Bay Area อันต้องบรรลุเป้าหมายตามมาตรฐานชั้น 1 ของโลก
เซินเจิ้นจะต้องมีบทบาทเป็นผู้นำในพื้นที่ดังกล่าว
อดีต เซินเจิ้นเป็นหุ้นส่วนกับฮ่องกงอันเกี่ยวกับความร่วมมือในการพัฒนา อีกทั้งเป็นคู่แข่งที่สำคัญ จึงมีคำถามว่า เซินเจิ้นจะนำหน้าฮ่องกงหรือไม่
ปัจจุบัน เหตุการณ์เปลี่ยนแปลงไป คำถามจึงมิใช่เซินเจิ้นจะเข้าแทนที่ฮ่องกงได้หรือไม่ หากเป็นประเด็นที่ว่า ฮ่องกงจะสู้เซินเจิ้นได้หรือไม่
สี จิ้นผิงกล่าวว่า ในด้านภูมิศาสตร์ เซินเจิ้นมีความเหมาะในการนำพาการพัฒนาของ Greater Bay Area ให้เเข้าสู่ระดับที่สูงขึ้นไป โดยต้องให้น้ำหนักด้านคุณภาพ
อีกทั้งมุ่งหน้า เสริมสร้างและปฏิบัติอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผลักดันในเชิงลึกอันเกี่ยวกับก่อสร้างสาธารณูปโภคในพื้นที่อ่าว อันเป็นโครงการยุทธศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของจีน
ว ลี พึ่งพาตนเอง น่าจะเป็นนัยสื่อไปในทางที่ไม่พึ่งพาปัจจัยภายนอก
ในสมัยปฏิวัติทางวัฒนธรรม คำขวัญดังกล่าวปรากฏอย่างดาษดื่นทั่วประเทศ
จึงชวนให้คิดถึงบทความของ เหมา เจ๋อตง ฉบับวันที่ 13 สิงหาคม ค.ศ.1945 ซึ่งได้อ้างอิงถึงคำขวัญดังกล่าว อันเกิดจากเบื้องหลังของสงครามต่อต้านญี่ปุ่นใกล้จะยุติ รัฐบาลประชาชาติได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ เป็นเหตุให้จีนคอมมิวนิสต์ไม่ได้รับหลักประกันขั้นพื้นฐานที่ควรได้ และยังมีความเป็นได้ที่จะก่อให้เกิดสงครามกลางเมือง
ดังนั้น เหมา เจ๋อตง จึงเน้นย้ำให้ พึ่งพาตนเอง โดยให้เหตุผลว่า เราสามารถพึ่งตนเองในการก่อตั้งกองกำลัง ไม่ว่าผู้ต่อต้านจะเป็นจีนหรือจากภายนอก จะต้องปราบให้หมดสิ้น
ส่วนคำว่า พึ่งพาตนเอง ของ สี จิ้นผิง นั้น เป็นอีกนัย 1 เขากล่าวขณะที่เยือนโรงงานอิเล็กทรอนิกที่เมืองเฉาโจว ความว่า ธุรกิจต้องพัฒนา ผลผลิตต้องยกระดับ เศรษฐกิจต้องเติบโตอย่างมีคุณภาพ ล้วนเป็นเรื่องที่ต้องพึ่งพาตนเอง
หากมิได้หมายความถึงความขัดแย้งระหว่างจีน-สหรัฐ หรือเหตุการณ์ที่จีนได้ประสบพบพานในสังคมโลก ในขณะที่สมัยปฏิวัติทางวัฒนธรรม ก็เพราะขณะนั้นจีนถูกระบบทุนนิยมอย่างสหรัฐและประเทศตะวันตกปิดล้อม จีนจึงจำต้องพึ่งพาตนเอง2 สมัย 2 เหตุการณ์ มีความต่าง ต่างกันราวฟ้ากับดิน
สรุป การเยือนเซินเจิ้นครั้งนี้ สี จิ้นผิง มีบัญชาให้เซินเจิ้นต้องปฏิรูปในเชิงลึก ก็เพราะ 40 ปีมีความก้าวหน้าไปมากแล้ว อดีต เซินเจิ้นจากพื้นที่ทะเล เรือกสวนไร่นา ป่าเขาลำเนาไพร
บัดนี้ เซินเจิ้นกลายเป็น 1 ใน 5 เมืองใหญ่ของเอเชีย
ย้อนมองอดีต เซินเจิ้นเมื่อ 40 ก่อน วันที่ 26 สิงหาคม 1980 สภาผู้แทนประชาชนจีนอนุมัติให้เมืองเซินเจิ้น จูไห่ ซัวเถาของมณฑลกวางตุ้ง และเมืองเซี่ยเหมินของมณฑลฝูเจี้ยนเป็น เขตเศรษฐกิจพิเศษ
26 สิงหาคม 2020 เป็นวันครบรอบ 40 ปีแห่งการก่อตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้น
ปีแรกของการก่อตั้ง พื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นทะเล ส่วนหนึ่งเป็นที่ว่างเปล่าและความวิเวก ส่วนหนึ่งเป็นเรือกสวนไร่นา ที่พักของเกษตรกรคือกระท่อมปลายนา
บัดนี้เซินเจิ้นกลายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษที่ใหญ่ที่สุดของจีน นอกจากเป็นเมืองทันสมัยที่สุดเมือง 1 ของจีน ยังติดอันดับเมืองเจริญรุ่งเรืองของโลก
และมีตัวเลขที่เตะตาคือจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการสำรวจครั้งล่าสุดปี 2020 จำนวนประชากรคือ 13.43 ล้านคน
ในขณะที่ 1980 คือปีที่เริ่มก่อตั้งเขตเศรษฐกิจมีเพียง 8 แสนคน
เซินเจิ้น มีความเจริญในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจ การศึกษา สังคม
ทั้ งนี้ เพราะมีเสาหลัก เติ้ง เสี่ยว ผิง ที่เปี่ยมด้วยสติปัญญาและวิริยภาพ ดำเนินงานการเมืองตามนโยบายของพรรคที่แน่วแน่เด็ดขาด และมีผู้บริหารระดับสูงอันมีนายกรัฐมนตรีเป็นอาทิ
ล้วนทำงานด้วยหัวใจและไม่จัดฉากสร้างภาพ
จุดเด่นของนายกรัฐมนตรีจีนทุกคนมีหลายประการ
1 มีวุฒิภาวะ เหมาะสมกับตำแหน่ง
1 การพูดจาชัดถ้อยชัดคำ ไม่รัวไม่มั่ว และเน้นเนื้องาน ไม่ว่าระดับใดก็ฟังเข้าใจ
1 ไม่ตะคอกนักข่าว ไม่ชี้หน้าคนฟัง ไม่เคาะโพเดียม
1 ไม่พูดจาจาบจ้วง หรือแสดงอาการก้าวร้าวใดๆ ต่อสาธารณชน
1 ไม่เดินส่ายไปมาเหมือนกังหันต้องลม หรือชะมดติดจั่น
1 ไม่ทำตัวเป็นศัตรูกับประชาชน
ปีแรกที่ก่อตั้งเขตเศรษฐกิจเซิ้นเจิ้นคือ 1980 เติ้ง เสี่ยว ผิง ในวัย 77 เป็นการพลิกฟื้นยืนตนจากพิษการเมืองครั้งที่ 3 ได้ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการ
นอกจากนี้ ยังต้องทำงานใหญ่คือปฏิรูป ก่อนอื่นต้องกำจัดพวกอนุรักษนิยมที่เป็นขวากหนาม และเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจที่ล้าหลังให้เป็นระบบเศรษฐกิจตลาด ขณะนั้นยังมองไม่เห็นแบบอย่างสำเร็จรูป จึงได้ทำการเปรีบยเทียบเรื่องเศรษฐกิจของคนจีนระหว่างฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์ ในที่สุดเห็นว่าสิงคโปร์น่าจะเป็นแบบอย่างให้แก่จีนได้
จึงตัดสินใจใช้ สิงคโปร์โมเดล
เติ้ง เสี่ยว ผิงได้เรียนรู้จากลี กวน ยิว นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น โดยคนแรกใช้หลักปฏิบัติ และคนหลังใช้หลักทฤษฎี ผู้นำทั้งสองได้เห็นพ้องต้องกันในหลักการทำงาน
ตั้งแต่ 1980–1990 ลี กวน ยิว ไปเซินเจิ้นทุกปีเพื่อติดตามผลงาน
เวลา 10 ปีเต็ม พระอาทิตย์ไม่ลืมวันฉันใด ลี กวน ยิว ไม่ลืมจีนฉันนั้น
ทุกครั้งที่ไปพบว่าจีนมีความก้าวหน้าทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเอกชน ไม่ว่าจะเป็นผู้ค้ารายย่อย ไม่ว่าจะเป็นความเจริญทางสังคม
ปี 1984 จีนเริ่มเปลี่ยนเป็นระบบเศรษฐกิจตลาด และในปีเดียวกัน เติ้ง เสี่ยวผิง ไปตรวจราชการที่เซินเจิ้น พร้อมทั้งให้แนวทางการปฏิบัติงาน โดยเน้นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
อีกทั้งให้ความสนใจแบบแผนของสิงคโปร์อันเกี่ยวกับการระดมทุนนอกเข้ามาทำการขับเคลื่อนและพัฒนาเศรษฐกิจ วิธีการสร้างงานให้แก่ประชาชนและการผลิตบุคลากร
จึงได้ลอกเลียนแบบการระดมทุนเต็มตามอินวอยซ์ไปใช้ที่เซินเจิ้น
เพื่อสร้างให้เป็นระบอบทุนนิยมในลัทธิสังคมนิยม
ในสมัยนั้น ผู้อาวุโสของจีนที่ร่วมกันสร้างประเทศมีความเห็นแตกต่างและเกิดความขัดแย้งกันในเรื่องการปฏิรูป เนื่องจากความคิดเก่ายังอยู่ในสมอง เพราะคิดกันว่า ถ้าทำการปฏิรูปแล้ว ความหมายของสังคมนิยมก็จะหมดไป เติ้ง เสี่ยวผิง เกิดความกังวล จึงได้เดินทางไปยังเมืองทางตอนใต้ของจีนเดือนมกราคม 1992 ซึ่งได้แก่ เซินเจิ้น จูไห่ เซี่ยงไฮ้
ทั้ งนี้ เพื่อไปอธิบายให้ประชาชนได้ทราบเกี่ยวกับนโยบายในการปฏิรูปเปิดประเทศ และโน้มน้าวให้ประชาชนสนับสนุนงานชิ้นนี้ด้วย ถือเป็นงานยากและหนักสำหรับคนในวัย 88
บัดนี้ เป็นที่ประจักษ์ว่า สิงคโปร์โมเดล ทำการก่อตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้นนั้น
ประสบความสำเร็จ
แต่ในเซินเจิ้นยังมีปัญหามากมาย เป็นต้นว่า ความล้าหลังระบบนิติรัฐ การทุจริตฉ้อราษฎ์บังหลวง สินค้าปลอมแปลง สินค้าหนีภาษี ยาเสพติด การชิงทรัพย์และวิ่งราวทรัพย์ เกิดขึ้นเสมือนอาหารประจำวัน
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของเขตเศรษฐกิจพิเศษเซินเจิ้น ต้องถือเป็นความสำเร็จของประชาชนจีน เป็นความสำเร็จของรัฐบาลจีนอย่างแท้จริง
การที่เซินเจิ้นมีวันนี้ ที่สำคัญที่สุดคือคนจีนมีความเป็นเอกภาพ จีนมีทั้งสีเหลืองและสีแดง แต่คนจีนมีความรักใคร่สามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ส่วนสีแดงนั้นคือ สีธงชาติ สีเหลือง คือดาว 5 ดวงบนธงชาติ
ความเป็นเอกภาพของประชาชน รัฐบาลจีนอนุญาตให้ลอกเลียนแบบได้ มิได้สงวนลิขสิทธิ์
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช