สิ่งที่ไม่เหมือนเดิม : พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์

ส่วนหนึ่งที่เรากำลังเผชิญอยู่ในวันนี้คือการพยายามหาจุดลงตัวของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมของเรานั่นแหละครับ แน่นอนว่าในช่วงแรกอาจจะมีสองฝ่าย

ฝ่ายหนึ่งก็คือฝ่ายที่เชื่อว่าโลกมันเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลง

ขณะที่อีกฝ่ายเชื่อว่าต่อให้โลกมันเปลี่ยนแปลงสิ่งที่จะยึดเหนี่ยวทุกอย่างเอาไว้ไม่ควรจะเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด

ในห้วงขณะของความตึงเครียด-ขัดแย้งนั้น เราเริ่มเห็นเฉดของทรรศนะและข้อเสนอที่มากมายขึ้น แต่ความขัดแย้งก็ยังเป็นการปะทะกันของสองแนวคิดหลักอยู่ดี

Advertisement

ปัญหาหนึ่งที่เรากำลังเผชิญก็คือ มันไม่มีเวทีใดที่จะทำให้การพูดคุยของสองฝ่ายเกิดขึ้นได้ เรื่องนี้เป็นทั้งตัวอย่างและบทเรียนสำคัญที่ทำให้เราเห็นว่าความขัดแย้งบางอย่างนั้นไม่สามารถที่จะคลี่คลายตัวไปได้อย่างง่ายๆ เพราะมันเป็นความขัดแย้งที่รายงานโดยตรงไม่ได้ และเป็นความขัดแย้งที่ไม่สามารถพูดถึงมันได้โดยตรงบนเวทีใดๆ ที่เป็นทางการ

ความขัดแย้งในรอบนี้สร้างประเด็นที่ท้าทายยิ่งในสังคม จนถึงขั้นที่แนวคิดสันติวิธี และแนวคิดเรื่องการสานเสวนา-ปรึกษาหารือ (deliberation) นั้นทำงานไม่ได้ แถมยังถูกเย้ยหยันว่าหมดน้ำยา

ความขัดแย้งในรอบนี้ยังตั้งคำถามที่สำคัญว่าสื่อมวลชนนั้นจะสามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้มากแค่ไหน เพดานของการรายงานนั้นอยู่ที่ไหน

Advertisement

ถ้ามองว่าการใช้ภาษาที่รุนแรงนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ทางการเมืองในช่วงนี้ มีการโจมตีกันว่าไม่ควรใช้ภาษาที่รุนแรงเช่นนี้ แต่ในอีกด้านหนึ่งคำถามก็คือภาษาที่เหมาะสมนั้นควรจะเป็นอย่างไร เป็นเรื่องที่ควรจะพูดกันได้ หรือมันเป็นเรื่องที่พูดกันไม่ได้เลย

มันเป็นเรื่องที่พูดสิ่งที่คิดจริงๆ ได้ไหม หรือมันต้องอาศัยวิธีในการพูด

และต่อให้ใช้วิธีที่เหมาะสมในการพูดมันเป็นสิ่งที่พูดได้จริงไหม

มาจนถึงวันนี้ ผมคิดว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมนี้มันร้าวลึกไปถึงขั้นที่ไม่อาจจะหาทางออกใดๆ ได้ ในความหมายที่ว่าทางออกนั้นเป็นทางออกที่ผ่านความเห็นชอบของทั้งสองฝ่าย

ส่วนหนึ่งที่มันยาก จนถึงกับเป็นไปไม่ได้ก็เพราะมันไม่มีคนกลางและความเป็นกลางที่เกิดขึ้นได้ในสถานการณ์นี้ ใครที่ยืนตรงกลางก็ไม่สามารถที่จะพูดว่ายืนตรงกลางได้

ความเป็นกลาง หรือยืนตรงกลางที่เคยถูกใช้ ส่วนหนึ่งเพื่อไม่ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องราวความขัดแย้งที่มีอยู่นั้นเกิดขึ้นไม่ได้ และถ้ามีคนบอกว่าเป็นกลางในเรื่องนี้ คนที่อ้างว่าเป็นกลางนั้นก็ยังไม่สามารถที่จะกล่าวได้เลยว่าเป็นกลางจากความขัดแย้งอะไร เมื่อเขาเป็นกลางเขาไม่ได้เป็นที่ยอมรับของฝ่ายใดเลย แถมเขายังเดือดร้อนไม่น้อยกว่าการเป็นคู่ขัดแย้งอีกต่างหาก

นึกถึงความขัดแย้งของสีเสื้อที่ผ่านมา ที่อุตสาหกรรมความเป็นกลางประเภทการค้นหาความจริงเพื่อความปรองดอง และความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านนั้นเฟื่องฟู คำถามที่เราตอบกันไม่ได้เลยในรอบนี้ก็คือ ความปรองดองคืออะไร ความจริงเพื่อความปรองดองคืออะไร ความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านนั้นคืออะไร และเกิดขึ้นได้ไหม

หรือถ้าจะพูดถึงคำว่าปฏิรูป ซึ่งหลายคนในยุคก่อนอาจจะเคยเย้ยหยันว่ามันเป็นสิ่งที่ไปไม่สุด คำถามที่มีในวันนี้ก็คือ คำว่าปฏิรูปยังไม่สามารถใช้ได้เลยกับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมนี้

ในด้านกลับกัน ถ้าเกิดการยึดอำนาจท่ามกลางสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้ สิ่งที่จะสร้างความลำบากใจที่สุดก็คือการเขียนข้ออ้างของการยึดอำนาจในรอบนี้ให้เป็นที่ยอมรับของคู่ขัดแย้งและของนานาชาติ ในเงื่อนไขที่การยึดอำนาจต้องการสร้างภาพของการเป็นผู้เข้ามาเป็นตัวกลาง เป็นผู้พิทักษ์สภาวะที่เกิดขึ้นในสังคมไม่ให้สุดขั้วจนเกินไป คนที่เข้ามาทำรัฐประหารไม่สามารถจะดำรงสถานะของความเป็นกลางใดๆ ในสถานการณ์นี้ได้เลย

สิ่งที่ตอบยากที่สุดในรอบนี้อาจจะไม่ใช่แค่เรื่องของทางออกปัญหา แต่มันตั้งหลักตั้งแต่การนิยามวิกฤตในรอบนี้ว่าเป็นวิกฤตของอะไรกันแน่ หลายคนอาจจะมองว่าเป็นวิกฤตของความชอบธรรม (legitimacy crisis) ซึ่งอาจจะไม่ผิด แต่ประเด็นท้าทายก็คือมันมีรายละเอียดของประเด็นปัญหาดังกล่าวที่ซับซ้อนมากมายเต็มไปหมด ในอีกด้านหนึ่งมันเป็นอะไรที่มากกว่าเรื่องความชอบธรรมของรัฐบาล และความชอบธรรมของรัฐในความหมายที่เราเข้าใจกันโดยทั่วไปตามตำรับตำรา เพราะในช่วงนับจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา วิกฤตความชอบธรรมของเราในรอบนี้มันลึกซึ้งไปกว่าเงื่อนไขในสมัยนั้นอีกมากมาย

ความชัดเจน ความรุนแรง และความเปล่าเปลือยของความขัดแย้งมันรุนแรงและลึกซึ้งไปกว่าจะมีข้อเสนอที่จะพ้นไปจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้

ไม่ใช่แค่เพราะไม่มีข้อเสนอ แต่ข้อเสนอที่จะพ้นไปจากความขัดแย้งเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ว่าจะต้องมีอยู่

ตัวความขัดแย้งเองยังไม่สามารถถูกนับได้เลย เพราะใครที่ระบุหรือสังเกตและยอมรับว่ามันมีความขัดแย้งเกิดขึ้นก็จะถูกตั้งคำถามว่าอยู่ฝั่งไหน หรือถ้าเสนออะไรออกมานั้นจะไปเข้าทางฝั่งไหน หรือเท่ากับยอมรับว่ามีคู่ขัดแย้งด้วยซ้ำ

อีกประการหนึ่งที่ไม่ง่ายนักในการพ้นจากความขัดแย้งในครั้งนี้ก็คือ เอาเข้าจริงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นนั้นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นความขัดแย้งที่แท้จริงแต่อย่างใด เพราะแต่ละฝ่ายเองอาจจะกลั่นกรองสิ่งที่ต้องการนำเสนออกมาแล้วในระดับหนึ่ง สิ่งที่แต่ละฝ่ายยึดถือและต้องการให้อีกฝ่ายหนึ่งเชื่ออาจไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการอย่างแท้จริง พวกเขาเองอาจจะต้องประนีประนอมกับสิ่งที่ตัวเองเชื่อและใฝ่ฝันกันมาในระดับหนึ่งแล้ว ก่อนที่เขาเลือกที่จะยืนตรงข้ามกัน หมายความว่าสิ่งที่พวกเขาเชื่อนั้นเขาประนีประนอมกับฝ่ายตัวเองและตัวของเขาเอง
มาแล้ว ดังนั้น การจะมาประนีประนอมกับฝ่ายที่เปิดหน้าตรงข้ามกันจริงๆ มันจึงเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่

ผมไม่ค่อยอยากจะทำนายว่ารอบนี้อะไรจะเกิดขึ้นอีก เพราะความขัดแย้งที่มันเปิดเผยขึ้นมาจนถึงวันนี้มันก็เพียงพอที่จะยืนยันระดับและความลึกซึ้งของความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมา แม้ว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นอาจจะถูกประเมินว่าไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ

วิกฤตในรอบนี้เป็นวิกฤตที่มากกว่าเรื่องความชอบธรรมดังที่ได้กล่าวมาแล้ว เพราะที่ผ่านมาทุกครั้งที่เกิดความขัดแย้งทางการเมืองเราก็เรียกมันว่าเป็นวิกฤตของความชอบธรรมมาตลอด แต่รอบนี้ถ้าจะเรียกว่าวิกฤตความชอบธรรมเราจำต้องอธิบายระดับและความกว้างขวางของตัววิกฤตดังกล่าวให้ได้

วิกฤตในรอบนี้ร้าวลึกจนถึงกับเป็นเรื่องที่หาที่ยืนให้กับความเป็นกลางไม่ได้

ถ้าจะให้ผมนิยามวิกฤตในรอบนี้ มันคือวิกฤตของการนิยาม แสวงหาและยอมรับความจริง มันจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายและยากเย็นมาก บางเรื่องมันพิสูจน์ไม่ได้แต่คนก็เชื่อ บางเรื่องพิสูจน์ได้คนก็ไม่เชื่อ และที่หนักกว่านั้นก็คือต่อให้ความจริงอยู่ตรงหน้าเขากลับยอมรับมันไม่ได้

วิกฤตรอบนี้ทำให้เรากำลังเผชิญหน้าว่าความจริงที่กำลังพูดถึงกันนั้นมันไม่สามารถจริงได้ด้วยตัวของมันเอง แต่มันผูกติดกับความหมาย ความเชื่อ ความใฝ่ฝัน และผลประโยชน์ของแต่ละฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตัวผมเองก็มีความเชื่อและความเชื่อในความจริงบางประการ แต่ผมก็ยังไม่เชื่ออยู่ดีว่าผมจะทำให้คนอื่นนั้นเชื่อและยอมรับทั้งความเชื่อและความจริงในแบบที่ผมเชื่อได้ทั้งหมด

และที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือวิกฤตในรอบนี้เป็นวิกฤตที่ยากลำบากมาก เพราะแค่จะยอมรับร่วมกันว่าเป็นวิกฤตก็ยากเย็นเต็มที

พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image