วิถีทรัมป์!! บังคับทุกชาติรับหมูมะกัน แต่ห้ามหมูต่างชาติเข้าอเมริกา

วิถีทรัมป์!! บังคับทุกชาติรับหมูมะกัน แต่ห้ามหมูต่างชาติเข้าอเมริกา : โดย สมคิด เรืองณรงค์

วิถีทรัมป์!! บังคับทุกชาติรับหมูมะกัน แต่ห้ามหมูต่างชาติเข้าอเมริกา : โดย สมคิด เรืองณรงค์

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศตัด GSP หรือสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับสินค้าไทย ประเภทชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องครัว อะลูมิเนียม หอย และอาหารอบแห้ง โดยให้มีผลตั้งแต่ 30 ธันวาคม 2563 อ้างเหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่สามารถเจรจาเพื่อนำเนื้อหมูและเครื่องในหมูจากสหรัฐอเมริกาเข้าตลาดไทยได้

นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึงกรณีนี้ว่า การตัดจีเอสพีจะเกิดผลกระทบต่อภาคเอกชนในประเทศไทยราว 600-700 ล้านบาท โดยกลุ่มที่จะที่ได้รับผลกระทบ ส่วนใหญ่จะเป็นชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมอาหาร สินค้าอิเล็กทรอนิกส์บางชนิด แต่ผลกระทบนั้นจะไม่รุนแรงมาก และจะกระทบเพียงระยะสั้น ด้วยสินค้าต่างๆ ก็ยังขายได้เป็นปกติเพียงแต่ภาคเอกชนทุกส่วนก็ควรต้องมีการเตรียมตัวหาตลาดใหม่ๆ เพื่อรองรับสินค้า

สอดคล้องกับ นายอนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทย และอดีตคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ที่กล่าวในทิศทางเดียวกันว่า ผลกระทบทางลบต่อภาคส่งออกไทยโดยรวมไม่มากนัก และไม่มีความจำเป็นในการทำตามที่สหรัฐอเมริกาต้องการให้เปิดตลาดเนื้อสุกรและผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารเร่งเนื้อแดง เพราะได้ไม่คุ้มเสีย โดยเฉพาะประเด็นทางด้านสุขภาพอนามัยของประชาชนชาวไทย ที่สำคัญ โดนัลด์ ทรัมป์ น่าจะตัดสินใจบนพื้นฐานผลประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าความสมเหตุสมผลทางเศรษฐศาสตร์เพื่อรักษาฐานคะแนนจากกลุ่มเกษตรกรสหรัฐ และยังระบุว่า สินค้าไทย 231 รายการที่ถูกตัดสิทธิล่าสุด มีเพียง 147 รายการเท่านั้น ที่ผู้ส่งออกไทยใช้สิทธิ GSP สินค้ากลุ่มนี้ (147 รายการ) มีมูลค่านำเข้าเฉลี่ยประมาณ 600-700 ล้านดอลลาร์ต่อปี เมื่อเสียภาษีเพิ่ม 4-5% คิดเป็นเม็ดเงินประมาณ 20-30 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 640-960 ล้านบาท

Advertisement

อีกมุมมองที่ผู้เขียนเห็น ก็น่าจะเป็นจังหวะการหาเสียงโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ที่ทรัมป์ต้องการเอาใจเกษตรกรอเมริกันเพื่อหวังคะแนนเสียง … “หมู” จึงอาจเป็นเพียง “ข้ออ้าง” ที่ทรัมป์ใช้สื่อสารออกมาเท่านั้น

ครั้งที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศนโยบาย America First ก็ออกคำสั่งให้กระทรวงพาณิชย์สหรัฐตรวจสอบประเทศที่ได้ดุลการค้าสหรัฐ ซึ่งไทยเป็น 1 ใน 16 ประเทศติดโผเข้าไปด้วย ลำพังเพียงแค่ไทยได้ดุลการค้า ทรัมป์ก็ปรี๊ดแตกและหาช่องทางคืนดุล และทำทุกวิถีทางเพื่อสนับสนุนให้สหรัฐส่งสินค้าเกษตรออกไปขายทั่วโลก แต่ขณะเดียวกันก็ปิดตลาดของตน ไม่ยอมให้นำเสินค้าเกษตรใดๆ เข้าไป … สิ่งที่ปรากฏก็เลยเป็นอย่างที่เห็น … บังคับทุกชาติเปิดรับหมูมะกัน แต่ห้ามนำหมูต่างชาติเข้ามาขายในอเมริกา… ไม่สนการค้าที่เป็นธรรม… แบบนี้จะเรียกว่าเห็นแก่ตัว?… หรือปกป้องเกษตรกร?ก็คงแล้วแต่มุมมองของผู้อ่าน

สหรัฐเป็นแหล่งผลิตสารเร่งเนื้อแดงที่สำคัญ ทั้งยังเป็นประเทศที่อนุญาตให้มีการใช้สารนี้ได้อย่างถูกกฎหมาย อาจกล่าวได้ว่าเนื้อสุกรของสหรัฐมีสารเร่งเนื้อแดงทั้ง 100% ก็คงไม่ผิด เรื่องนี้ขัดต่อ พ.ร.บ.อาหาร พ.ศ.2522 และ พ.ร.บ.ควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ.2558 ของไทยที่ห้ามไม่ให้ใช้สารเหล่านี้ อีกทั้งกรมปศุสัตว์ยังยืนยันห้ามใช้สารในกลุ่มเบตาอะโกนิสต์ทุกชนิด

Advertisement

ขณะเดียวกัน การเลี้ยงหมูในประเทศไทยก็มีพัฒนาการและเติบโตขึ้นเป็นลำดับ มีการลงทุนเทคโนโลยีการเลี้ยงและพัฒนาเข้าสู่ฟาร์มมาตรฐาน โดยมีกรมปศุสัตว์เป็นผู้ตรวจสอบรับรอง ตรวจสอบย้อนกลับได้จนถึงต้นทาง แม้จะมีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น แต่ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคชาวไทยเป็นสำคัญ เมื่อมาตรฐานหมูไทยเหนือกว่าสหรัฐ จึงยืนหยัดไม่รับหมูมะกันได้ ด้วยเหตุผลด้าน Food safety หรืออาหารปลอดภัยนั่นเอง และวันนี้ไทยก็ยังยืนหนึ่งเป็นประเทศเดียวที่มีมาตรฐานการผลิตหมูโดยปราศจากโรค ASF ในภูมิภาคนี้ด้วย

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้มีการประเมินกันว่า หากไทยเพลี่ยงพล้ำรับหมูสหรัฐเข้ามา นอกจากคนไทยต้องกินหมูปนสารเร่งเนื้อแดงแล้ว ยังเป็นการซ้ำเติมเกษตรกรผู้เลี้ยงหมู และผลกระทบของมันยังต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ไปถึงเกษตรกรผู้ปลูกข้าวโพด ผู้ผลิตอาหารสัตว์ ยา และเวชภัณฑ์ ซึ่งถ้ารวมมูลค่าทั้งอุตสาหกรรมก็สูงถึงราว 80,000 ล้านบาท การตัดสินใจครั้งนี้ของไทยจึงนับว่าถูกต้องเหมาะสมยิ่ง… ขอชื่นชมจากใจ

สมคิด เรืองณรงค์

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image