อย่าได้คาดหวังว่าเศรษฐกิจไทยที่กำลังโงหัวขึ้นจะเดินหน้าได้ โดย สมหมาย ภาษี

ในที่สุดประชาชนชาวอเมริกันก็ได้ โจ ไบเดน (Joe Biden) เป็นผู้นำคนใหม่ตามเวลาที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญที่ถือว่าเป็นประชาธิปไตยเต็มใบ ประเทศที่มีรัฐธรรมนูญชัดเจนซึ่งร่างมาโดยประชาชนที่ยึดหลักเสรีภาพ และยึดถือการปกครองที่ต้องให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินแต่ผู้เดียวเท่านั้น เขาจึงไม่ต้องเสียเวลาแล้วเสียเวลาเล่าถึง 88 ปี ตั้งแต่ปี 2475 เพื่อเขียนรัฐธรรมนูญแล้วฉีกเหมือนประเทศไทยเรา อยากจะถามนักการเมืองประเภทตั้งแต่ผมสีเทาและความจำเลอะเลือนของไทยทั้งหลายว่า ท่านไม่มีการเบื่อความจำเจที่อยู่ในวงจรอุบาทว์นี้กันบ้างหรือไง

ถ้าหากเรานำเวลาที่เสียไปกับการปฏิวัติรัฐประหารเพื่อให้ทหารอาชีพมีงานทำและมีอำนาจหลังเกษียณ นำเวลาที่เสียไปกับการสรรหาคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อมาประชุมให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ในชาติอย่างที่เห็นๆ กันอยู่ในขณะนี้ นำเวลาที่เสียไปกับการท่องจำถ้อยคำหลอกลวงที่ใช้ในการหาเสียงและวิ่งตะลอนๆ ปราศรัยเพื่อให้ตนเองได้เข้ามานั่งอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรอันทรงเกียรติภายใต้รัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตยเหมือนประเทศอื่นเขา ท่านนักการเมืองผู้ครํ่าหวอดทั้งหลายเคยเอือมระอากับการเสียเวลาในสิ่งที่ทำซํ้าซากโดยไม่มีอะไรดีขึ้นแบบยั่งยืนในการบริหารประเทศของเราบ้างไหมครับ

บางท่านจะถามว่าที่พวกท่านทำกันมาครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความรักชาติที่อ้างต่อชาวบ้านตาดำๆ นั้น มันมีอะไรเสียหายต่อประเทศชาติหนักหนาหรือ คำตอบของผมคือมันเสียหายต่อเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก มันเสียหายต่อการไม่สร้างความอยู่ดีกินดีให้ประชาชนคนไทยเลย และจะเห็นได้ชัดก็ต่อเมื่อนำความเจริญก้าวหน้าและระดับความเป็นอยู่ของคนไทยไปเทียบกับประเทศในเอเชียด้วยกัน

เมื่อ 50 ปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นประเทศจีน หรือเกาหลีใต้ เขายากจนข้นแค้นกว่าเรามากเดี๋ยวนี้ความเป็นอยู่ของคนของเขาดีขึ้นกว่าคนไทยอย่างเห็นได้ชัด หรืออย่างประเทศเวียดนามเมื่อ 40 ปีที่แล้ว ยังยากจนแสนเข็ญ เดี๋ยวนี้เขาเดินหน้าไปจนจะแซงเราอยู่แล้ว

Advertisement

การเมืองของประเทศไทยที่ปั่นป่วนจนสุดที่ใครจะคาดการณ์ได้ในขณะนี้ ถือได้ว่าเป็นปัจจัยลบที่หนักมากต่อการคาดหวังใดๆ ด้านเศรษฐกิจ ข่าวที่ออกมาจากหน่วยงานต่างๆ ภาครัฐไม่ว่าจากธนาคารแห่งประเทศไทย จากสภาพัฒน์ จากกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง รวมทั้งจากธนาคารพาณิชย์ที่สำคัญๆ ไม่สามารถชี้ให้เห็นภาพของเศรษฐกิจในทางบวกที่แสดงให้เห็นการเดินหน้าของประเทศได้เลย

ตัวอย่างที่เห็น เช่น กระทรวงพาณิชย์ได้ออกข่าวมาเมื่อ 22 ตุลาคมนี้ว่า การส่งออกของไทยในเดือนกันยายนที่ผ่านมาติดลบ 3.86% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แสดงถึงการฟื้นตัวที่ต่อเนื่อง ทั้งๆ ที่ภาพรวมการส่งออก 9 เดือน ปี 2563 นี้ติดลบถึง 7.33% เป็นต้น ส่วนการท่องเที่ยวก็มีแต่การประชาสัมพันธ์กันเต็มที่ เห็นนักท่องเที่ยวที่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลให้เดินทางเข้ามากลุ่มหนึ่งสักแค่ 120 คน ก็ดีใจกันเนื้อเต้นตั้งแต่ท่านเสนาบดีจนถึงผู้ว่าการที่รับผิดชอบการท่องเที่ยว ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วไม่เห็นมีมาตรการอะไรที่ออกมาให้ดูว่าจะสร้างผลบวกจริงๆ สักอย่าง พูดไปก็เหมือนการฉายหนังซํ้าเหมือนในรายการทีวีของผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ขายบริการให้ประชาชนที่เป็นสมาชิกดูอยู่ทุกวันนี้

การเกิดวิกฤตโควิด-19 ในครั้งนี้ รัฐบาลของทุกประเทศต่างก็ต้องทำงานหนักเพื่อช่วยเหลือประชาชนของชาติตนทั้งนั้น ประเทศไทยรัฐบาลก็ทำงานหนัก รัฐมนตรีแต่ละท่านก็ขยันขันแข็งมากไม่แพ้ท่านนายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้นำ แต่ท่านผู้อ่านที่เคารพทราบไหมครับว่าของประเทศไทยเรา ทำไมยิ่งขยันกันมากแต่ประเทศกลับห่างจากผู้อื่นมาก ซึ่งผมใคร่ขอวิเคราะห์ให้ท่านพิจารณาสัก 4 ประเด็นดังต่อไปนี้

Advertisement

ประการแรก ประเทศที่การเมืองมีแต่ความวุ่นวาย ใครเขาคิดจะมาเที่ยว มีประชาชนหลากหลายหรือหลากกลุ่มหลากสีมาประท้วง แสดงให้เห็นทั้งความไม่สงบของบ้านเมืองและความแตกแยกของคนในชาติ อย่างที่เห็นกันอยู่นี้ ใครเขาจะมาลงทุน ใครเขาอยากจะมาเที่ยว แม้ไม่มีโควิดระบาดเกิดขึ้น แต่การเกิดความวุ่นวายแบบนี้เหมือนกับที่เคยเกิดสมัยการประท้วงของ กปปส.เมื่อ 8-9 ปีที่แล้ว คนที่อยากมาเที่ยวในเมืองไทยก็ต้องลดน้อยลงอยู่ดี ตอนนี้ยิ่งมีการระบาดของโควิดหนักอยู่ แม้ว่า 3-4 เดือนข้างหน้าจะเบาบางลงและรัฐบาลของเราเกิดมีปัญญาพอที่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาได้ แต่ก็อย่าคาดหวังว่าเขาจะเข้ามาเที่ยวใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่ยังไม่มีโควิด

ประการที่สอง ปัจจัยหลายตัวที่เป็นส่วนจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทยได้ค่อยๆ หมดสภาพลง บรรดาสิ่งที่เป็นหน้าตาหรือภาพพจน์ดีๆ ได้ค่อยๆ หมดสภาพไป เช่น ความเป็นประเทศที่หน่วยงานภาครัฐมีความเป็นธรรมาภิบาลได้ลดน้อยถอยลงอย่างมากตรงกันข้ามความเป็นประเทศที่มีปัจจัยเสี่ยงได้ถูกเติมเข้ามาให้เห็มากขึ้น สถานการณ์ด้านการทุจริตคอร์รัปชั่นแทนที่จะลดน้อยถอยลง กลับเบ่งบานขยายตัวไปสู่ส่วนราชต่างๆ มากขึ้นหน่วยงานของรัฐที่ต้องให้บริการประชาชนที่ไม่เคยมีใครพูดถึงการเรียกเก็บเงินใต้โต๊ะแบบมืออาชีพ บัดนี้เป็นที่พูดถึงกันมากขึ้น จนกล่าวได้ว่า ตั้งแต่มีการปฏิวัติโดย คสช.เมื่อพฤษภาคม 2557 เป็นต้นมา ดีกรีหรือดัชนีการคอร์รัปชั่นของประเทศไทยมีแต่จะเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งแปลว่าคนที่เข้ามาทำธุรกิจไม่ใช่เฉพาะคนต่างชาติเท่านั้น แม้คนไทยก็เหนื่อยกับเรื่องนี้มากขึ้นแล้วอย่างนี้ใครเขาจะอยากมาลงทุน

นายกฯคนใหม่ของประเทศญี่ปุ่น นายโยชิฮิเดะ สึกะ (Mr. Yoshihide Suga) ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งเมื่อกลางเดือนกันยายนนี้ หลังเข้าดำรงตำแหน่งได้ไม่นานก็ได้ออกเดินทางไปเยี่ยมผู้นำของประเทศในอาเซียน เท่าที่ทราบสองประเทศแรกที่นายโยชิฮิเดะไปเยี่ยม คือประเทศอินโดนีเซีย และประเทศเวียดนาม แต่เขายังไม่มีโปรแกรมมาไทยนะครับ

ดังนั้น อย่าได้คิดว่าต่างชาติจะขนเงินมาลงทุนในโครงการเขตระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก EEC ในเร็ววัน เชื่อเถอะครับว่าอาจต้องตั้งตารออีกสองรัฐบาล

ประการที่สาม ประเทศไทยในช่วง 12 ปีที่ผ่านมา ไม่มีการปฏิรูปใดๆ อย่างมีนัยสำคัญให้ประชาชนได้เห็น และทั้งไม่ได้มีการนำนโยบายทางเศรษฐกิจที่สำคัญเพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจให้มีความยืดหยุ่น ให้มีการกระจายความเสี่ยงในด้านการลงทุนและการผลิต และทั้งไม่มีการปรับนโยบายด้านการคลังทั้งในเรื่องการจัดงบประมาณรายจ่าย และการจัดเก็บภาษีเพื่อมุ่งสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจแบบยั่งยืนและเพื่อการกระจายรายได้แต่อย่างใด อีกทั้งการปรับตัวด้านเทคโนโลยี และด้านดิจิทัล ก็ทำไปแบบตามหลังประเทศอื่นตลอดเวลา แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่ได้เข็นออกมาก็ไม่มียุทธวิธีสร้างความแข็งแกร่งให้ชาติที่รับได้เลย

ที่สำคัญมาก คือระบบการบริหารราชการแผ่นดินที่ได้พัฒนามาตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งสมัยนั้นมีท่านผู้รู้และเป็นทั้งผู้ที่ทำงานเพื่อชาติด้วยความสุจริตมากมาย ได้พยายามยกระดับการบริหารประเทศด้านต่างๆ ให้เป็นระบบที่ดีมาก สมัยนั้นมีประชากรประมาณ 34 ล้านคน ในช่วงนี้มีประชากรถึง 66.5 ล้านคน โลกได้เปลี่ยนเป็นยุคดิจิทัล แต่ไทยเราเปลี่ยนระบบเก่าแก่ที่ล้าสมัยแล้วไม่ทัน ไม่เหมือนประเทศญี่ปุ่น ประเทศเกาหลี และจีน

เมื่อมาถึงตอนนี้ เราเองก็รู้ดี รู้ว่าไม่ได้มีรัฐบาลใดสามารถปรับโครงสร้างด้านใดของประเทศได้เป็นเรื่องเป็นราวเลย เมื่อรู้ตัวก็สายเสียแล้ว ครั้นจะเริ่มปรับกันขึ้นมา ก็ทำไม่ได้เพราะประเทศล้วนถูกครอบงำด้วยการฉีกรัฐธรรมนูญและยังคงไว้ด้วยการเมืองแบบ
โบราณที่ซํ้าซาก

ประการที่สี่ การระบาดของโควิด-19 กลับเพิ่มความรุนแรงยิ่งขึ้นในไตรมาสที่สี่ของปีนี้ และไม่สามารถคาดได้ว่าจะลดความรุนแรงลงได้เร็วแค่ไหน หากจะเดาจากความพยายามของประเทศต่างๆ ทั่วโลก อาจคาดได้ว่าการระบาดจะลดน้อยถอยลงได้อย่างเห็นได้ชัดคงจะต้องถึงปลายไตรมาสแรกของปี 2564 หรืออย่างน้อยอีก 4 เดือนข้างหน้า ทั้งนี้ ภายใต้ความเชื่อที่ว่า จะมีวัคซีนที่ผ่านการรับรองแล้วออกมาดูแลอย่างเพียงพอกับประชากรไม่น้อยกว่าหนึ่งในห้าของโลก

การที่ประเทศต่างๆ ต้องหมกมุ่นอยู่กับการดูแลประชาชนของเขาให้พ้นภัยจากโรคร้ายจนถึงขั้นต้องทำการกำหนดเขต Lockdown ให้ประชาชนอยู่เฉพาะที่ ต้องปิดกิจการที่ผู้คนเคยใช้ชีวิตปกติอย่างสุขสำราญ แม้กระทั่งร้านอาหาร บาร์ สถานบันเทิง สนามกีฬา และสถานที่อื่นๆ ที่ประชาชนสามารถเข้าไปร่วมชุมนุมต่างๆ ทุกประเภท แล้วอย่างนี้การบริโภคและการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนจะต้องหดตัวกันไปขนาดไหน

สิ่งที่ร้ายหนักกว่านั้น การ Lockdown ทำให้คนต้องตกงานกันทั่วไป ยิ่งไม่มีรายได้ในการใช้จ่ายตั้งแต่ของฟุ่มเฟือยจนถึงสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพ อำนาจซื้อทั่วโลกจะลดลง ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) จะเกิดขึ้นแทบทุกประเทศและจะมีผลต่อเนื่องไปอีกยาวนาน

ในภาวะดังที่ได้กล่าวมานี้ รัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ยังคิดว่าเราจะส่งออกสินค้าไทยได้เพิ่มอยู่อีกหรือ อย่างดีก็แค่ยันให้ติดลบน้อยลงเท่านั้น ส่วนการเชิญชวนเขามาเที่ยวแบบเราไม่ต้องรับความสุ่มเสี่ยงเลยนั้น พระเจ้าก็คงช่วยไม่ได้ ซึ่งช่วงนี้มีข่าวว่าทาง ศบค.กำลังจะพิจารณาลดระยะเวลาการกักตัวให้ลดลงจาก 14 วัน เหลือ 10 วัน ก็คิดว่าคงได้ผลตอบสนองความอุตส่าห์คิดไม่เอาแต่นั่งตาปริบๆ ของภาครัฐได้บ้าง

ครั้นจะหันไปมองด้านการลงทุน ก็ได้กล่าวมาแล้วว่าต่างชาติที่เป็นนักลงทุนตอนนี้เขาก็เมินประเทศไทยมากขึ้น เครื่องยนต์เดียวที่ยังเหลืออยู่ก็คือการใช้จ่ายภาครัฐที่จะต้องอัดทั้งการลงทุนและการผลักดันอุ้มชูมุ่งใช้แต่การจัดเงินกระตุ้นการบริโภค ซึ่งเรื่องนี้ทำได้อีกไม่เกินกลางปีหน้าเห็นท่าจะต้องวิ่งไปหาวัดแน่ เพราะภาษีเก็บไม่ค่อยได้ซึ่งรู้กันว่าเป็นเรื่องปกติของยุคเศรษฐกิจถดถอย ส่วนการจะใช้เงินกู้มากกว่านี้ก็เห็นชัดๆ อยู่แล้วว่าใกล้ถึงทางตันเต็มทีแล้ว

จะถึงตอนนั้นอีกไม่นาน ท่านนายกรัฐมนตรีคนเก่งกว่าปัจจุบันจะชื่ออะไรหนอ

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image