สถานีคิดเลขที่ 12 : เดินเอียงกระเท่เร่

สถานีคิดเลขที่ 12 : เดินเอียงกระเท่เร่ การปะทะกันทางความคิด ระหว่างคนสองขั้ว

สถานีคิดเลขที่ 12 : เดินเอียงกระเท่เร่

การปะทะกันทางความคิด ระหว่างคนสองขั้วในสังคมไทย ในช่วงหลายปีมานี้ น่าสังเกตว่า เราได้เห็นอดีตข้าราชการระดับสูง ในหน่วยงานด้านความมั่นคง ด้านข่าวกรอง ออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอย่างเปิดเผย

โดยประกาศตัวตนว่าขวาจัดสุดโต่ง

แถมการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง ของอดีตข้าราชการในหน่วยงานเหล่านี้ กลับน่าตกใจว่า เต็มไปด้วยอคติ กล่าวโจมตีฝ่ายคิดต่างอย่างขาดเหตุผล

Advertisement

ที่สำคัญคือ ขาดข้อมูล หรือไม่กลั่นกรองข้อมูลให้ดีพอ

ฟังแล้วก็ต้องตกใจ แล้วตอนอยู่ในหน้าที่ราชการ จะมีความเป็นมืออาชีพในงานด้านข่าวกรองจริงหรือ

คนที่พูดถึงเหล่านี้ ได้แก่ อดีตบิ๊กของสภาความมั่นคงแห่งชาติ หรือ สมช. อดีตข้าราชการใหญ่ของสำนักข่าวกรอง อดีตนายทหารใหญ่แห่งศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ หรือ ศรภ. ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญด้านข่าวกรองของกองทัพ

Advertisement

พากันแสดงจุดยืนอนุรักษนิยมทางการเมืองสุดขั้ว

ไม่รู้ว่าสมัยอยู่ในหน่วยงานเหล่านั้น จะรายงานด้านการข่าวนำเสนอรัฐบาลในแนวไหน

น่าสงสัยจริงๆ

จะว่าไปแล้ว ความคิดทางการเมือง จุดยืนทางการเมือง เป็นเรื่องห้ามกันไม่ได้

เพียงแต่ต้องมีคำถามว่า การเลือกสรรคนที่เข้ามาทำงานในด้านการข่าว เพื่อนำข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำรายงานต่อรัฐบาล เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจในปัญหาต่างๆ

หน่วยงานแบบนี้ จำเป็นอย่างมากต้องเป็นมืออาชีพ ตรงไปตรงมา ไร้อคติความโน้มเอียง เพื่อให้รัฐบาลได้รับรู้ข้อเท็จจริงอย่างไม่ผิดเพี้ยน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อกรณีเกิดการเคลื่อนไหวของฝ่ายคิดต่าง ไปจนถึงการชุมนุมประท้วงเพื่อต่อต้านรัฐบาล

ไม่เช่นนั้นแล้ว รัฐบาลจะตัดสินใจภายใต้พื้นฐานข้อเท็จจริงอันบิดเบี้ยว นำไปสู่การแก้ปัญหาผิดทิศผิดทาง

ลงเอยรัฐบาลนั่นแหละจะพังเอง และอาจจะสร้างความสูญเสียต่อประชาชนอย่างไม่สมควร
บทเรียนในอดีตสมัยรัฐบาลไทยรับมือกับการต่อสู้ของพรรคคอมมิวนิสต์ เดิมก็รบกันแหลกราญ ผลก็คือยิ่งรบฝ่ายคอมมิวนิสต์ยิ่งเติบโต

ขณะเดียวกันหน่วยงานด้านการข่าวด้านความมั่นคง เช่น ตำรวจสันติบาล มีนายตำรวจสายพิราบ

มีระบบการทำงานกับคอมมิวนิสต์อย่างลึกซึ้ง โดยมีศูนย์ซักถาม สำหรับการพูดคุยหาข้อมูลจากคนในพรรคคอมมิวนิสต์ ที่จับกุมได้

ศูนย์ซักถามจะให้คอมมิวนิสต์เหล่านี้พักผ่อนอยู่ในเซฟเฮาส์ ไม่ได้อยู่ในห้องขัง แล้วมีนายตำรวจสันติบาลที่เชี่ยวชาญ มานั่งพูดคุยเพื่อเก็บข้อมูลอย่างละเอียด และเพื่อศึกษาแนวคิดของคนเหล่านี้

ศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อแก้ไขได้ถูกทาง

ไม่ใช่จับมาขังแล้วขู่เข็ญให้เปิดเผยข้อมูล ซึ่งไม่มีทางได้ความจริง

ในกองทัพบกเองยุคนั้น ก็มีนายทหารสายพิราบ ที่พยายามเรียนรู้คอมมิวนิสต์จนตกผลึก นำไปสู่แนวทางการเมืองนำการทหาร แก้ปัญหาสงครามคอมมิวนิสต์ได้ในที่สุด ด้วยการเจรจาสันติวิธี

คนทำงานการข่าวความมั่นคงควรเป็นมืออาชีพแบบนี้

แต่เห็น อดีตบิ๊ก สมช.สำนักข่าวกรอง และ ศรภ.ที่ออกมาเดินเอียงขวากระเท่เร่

ก็เลยเข้าใจได้ดี ถึงข่าวที่ว่า สมช.ประเมินม็อบคณะราษฎรว่า แผ่วแล้ว มีเหลือไม่ถึง 2 หมื่น

ไม่รู้ว่าอคติ หรือเอาอกเอาใจ

สุริวงค์ เอื้อปฏิภาน

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image