บทนำ : ตัวเลข ศก.ดีขึ้น
นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ แถลงแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวมหรือจีดีพี ปี 2563 ว่า มีการปรับการคาดการณ์มาอยู่ที่ ลบ 6% จากเดิมที่คาดว่าทั้งปี 2563 ติดลบ 7.8 ถึงติดลบ 7.3% โดยมูลค่าการส่งออกสินค้า อยู่ที่ติดลบ 7.5% การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนรวมปรับตัวลดลงติดลบ 0.9% ภาคอุปโภคภาครัฐ 3.6% การลงทุนภาคเอกชนติดลบ 8.9% การลงทุนภาครัฐปรับตัวดีขึ้น 13.7% และเงินเฟ้ออยู่ที่ติดลบ 0.9%
ตัวเลขดังกล่าวถือเป็นข่าวดีที่เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากปัจจัยบวกหลายปัจจัย เช่น การลงทุนภาคเอกชน การส่งออกดีขึ้นในบางตลาด ภาคการเกษตร และการเมืองในประเทศยังทรงตัวอยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ ส่วนในปี 2564 คาดว่าจีดีพีจะเติบโตอยู่ที่3.5-4.5% โดยมีแรงสนับสนุนจากการปรับตัวขึ้นของอุปสงค์ภายในประเทศ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจและปริมาณการค้าโลก และแรงขับเคลื่อนภาครัฐจากการเบิกจ่ายภายใต้กรอบงบประมาณและมาตรการทางเศรษฐกิจ ขณะที่การเบิกจ่ายเงินกู้ 1 ล้านล้านบาท คาดว่าจะสามารถเบิกจ่ายได้ไม่ต่ำกว่า 70% ของเงินกู้
สำหรับปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยปี 2564 คือ อัตราการว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด เพื่อหามาตรการรองรับ, สถานการณ์ภัยแล้งในปี 2564, การระบาดของโควิด-19 ระลอก 2 ในต่างประเทศ ความเสี่ยงในเรื่องประสิทธิภาพและการขนส่งวัคซีน ซึ่งคาดว่าจะมีวัคซีนใช้ทั่วโลกในช่วงไตรมาส 3/2564 รวมทั้งหนี้ครัวเรือน ซึ่งต้องเฝ้าระวังใกล้ชิดกันต่อไป
ถ้อยแถลงจากสภาพัฒน์ทำให้มองเห็นทิศทางเศรษฐกิจไทยที่ดูดีขึ้น แม้ว่าการเติบโตจะยังติดลบ แต่ก็ติดลบไม่มาก ย้อนไปดูปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจกระเตื้องเกิดมาจากการลงทุนดีขึ้น การส่งออกดีขึ้น การเมืองทรงตัว ขณะที่ปัจจัยเสี่ยง เช่น การว่างงาน ภัยธรรมชาติ การระบาดของโรคโควิด-19 หนี้ครัวเรือน ล้วนเป็นเรื่องที่ต้องอยู่ในสายตาของรัฐบาล ขณะนี้เริ่มมีความดีจากโลก เพราะมีวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่ทดลองสำเร็จเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์เกิดขึ้น ทำให้โอกาสป้องกันโรคระบาดนี้เป็นไปได้มากขึ้น จึงเหลือแต่ข่าวดีในประเทศที่รัฐบาลต้องทำให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะปัจจัยทางการเมืองที่ต้องทำให้สถานการณ์ขัดแย้งคลี่คลาย และเกื้อหนุนให้เศรษฐกิจไทยเติบโตไม่ทรุดฮวบลงไปอีก
