เศรษฐกิจเพิ่งจะโงหัว วัคซีนกำลังจะมา รัฐธรรมนูญกำลังจะถูกแก้ไข แล้วประเทศไทยจะเดินหน้ากับเขาได้อย่างไร

เศรษฐกิจเพิ่งจะโงหัว วัคซีนกำลังจะมา รัฐธรรมนูญกำลังจะถูกแก้ไข แล้วประเทศไทยจะเดินหน้ากับเขาได้อย่างไร

เศรษฐกิจเพิ่งจะโงหัว วัคซีนกำลังจะมา รัฐธรรมนูญกำลังจะถูกแก้ไข
แล้วประเทศไทยจะเดินหน้ากับเขาได้อย่างไร

ท่ามกลางความวุ่นวายจากกลุ่มประท้วงของคณะราษฎร และม็อบเสื้อเหลือง บวกกับความเห็นต่างทรรศนะที่หลากหลายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่มาจากการแต่งตั้งล้วนแล้วแต่มาจากรัฐธรรมนูญเจ้าปัญหาของประเทศที่มีต้นตอมาจากแนวคิดเพื่อความยั่งยืนแห่งอำนาจของ คสช. โดย คสช. เพื่อ คสช. ซึ่งทำให้ประชาชนระดับธรรมดาที่เป็นเจ้าของประเทศถึงกับมึนงงกันมากในทุกวันนี้ มันเป็นเคราะห์กรรมที่ร้ายแรงสำหรับประเทศของเรามากเสียจริงๆ

อยู่ๆ ก็มีข่าวค่อนข้างดีจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ที่ได้แถลงออกมาโดยคุณดนุชา พิชยนันท์ ท่านเลขาธิการใหม่หมาดๆ ซึ่ง สศช.นี้แหละที่เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงเกี่ยวกับการทำตัวเลขรายได้ประชาชาติ หรือ GDP

จากข่าวที่แถลงสรุปได้ว่า GDP ปี 2563 ที่เคยประมาณการว่าจะติดลบ 7.3% ถึง 7.8% นั้น ตอนนี้ได้ตัวเลขใหม่ที่จะติดลบเพียง 6% เท่านั้น ดีขึ้นจริงครับ แต่ก็ยังหดตัวคือยังติดลบอยู่นั่นเอง ท่านเลขาธิการ สศช.แถลงว่า ทั้งนี้ เพราะ GDP ในไตรมาสสามปีนี้ติดลบน้อยลงจากไตรมาสก่อนหน้าที่คาดไว้ คือเหลือ -6.4% โดยสรุปที่การขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสสามของปีนี้ดีกว่าที่คาด เพราะการส่งออกตัวเลขหดตัวน้อยลงกว่าที่คาด แม้ว่าภาครัฐยังคงขยายตัวเป็นบวกทั้งในด้านการลงทุน เพราะการก่อสร้างโครงการด้านสาธารณูปการใหญ่ๆ ยังเดินหน้าอยู่และในด้านการบริโภคภาครัฐก็ยังคงมีการแจกเงินให้ประชาชนใช้จ่ายและท่องเที่ยวอยู่ตามนโยบายเดิม ตราบใดที่ภาครัฐยังหาเงินกู้เข้ามาใส่ในบัญชีเงินคงคลังได้ การแจกเงินภาครัฐก็ยังคงเดินไปได้ควบคู่กับภาระหนี้ภาครัฐที่พุ่งชี้ฟ้าขึ้นไปเรื่อย

Advertisement

สรุปแล้ว ข่าวดีที่สภาพัฒน์ปล่อยออกมานี้ ได้สร้างความชื่นมื่นให้กับคนของรัฐบาลผู้รับผิดชอบด้านเศรษฐกิจที่ทำงานหนักกันพอสมควร เช่น ท่านรัฐมนตรีคลังคนใหม่ ท่านรองนายกฝ่ายเศรษฐกิจคนใหม่ที่ทำงานไม่มีวันหยุด และโดยเฉพาะท่านนายกรัฐมนตรีคนเก่าที่กำลังเผชิญปัญหารอบด้านอยู่ทุกวันนี้ ก็ต้องยอมรับได้ว่าช่วงนี้เศรษฐกิจที่หดตัวแบบถล่มทลายจากพิษโควิด-19 สามารถโงหัวให้เห็นแสงตะวันได้บ้างแล้ว ตอนนี้ภาคเอกชนโดยเฉพาะสาขาการท่องเที่ยวต่างก็หวังว่า ไตรมาสสี่ซึ่งเป็นช่วงสุดท้ายของปี 2563 ที่สุดระทมนี้ จะสามารถเห็นแสงสว่างของการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีกว่านี้อีก แต่คงไม่ได้มีอะไรทำให้ดูดีขึ้นได้ เพราะ ศบค.ยังคงยึดหลักการ Lockdown ประเทศไว้เหมือนเดิม รับรองไม่มีทางที่นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามาฉลองเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ได้

อย่างไรก็ตาม ผมใคร่ขอสะกิดให้ท่านผู้บริหารประเทศทั้งหลาย ให้หันไปมองเรื่องร้ายๆ รอบตัวให้ชัดเจนกันด้วยนะครับ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเศรษฐกิจที่ขยายตัวดีขึ้นในไตรมาสที่สามนี้ ผู้ที่ได้รับผลพวงจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้นเล็กน้อยนี้ แทบทั้งหมด คือ ผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ และอาจรวมถึงผู้ประกอบการ SME บางราย รวมทั้งผู้ที่ถือครองทรัพย์สินจำนวนมากเป็นทุนไว้ทั้งนั้น ส่วนประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศกล่าวได้ว่า นอกจากเงินที่รัฐบาลพยายามแจกจ่ายและเงินสวัสดิการที่มีให้ช่วยเหลือตามงบประมาณของรัฐที่อัตคัดแล้ว เขาไม่ได้รับการแบ่งปันรายได้ที่เพิ่มขึ้นทางเศรษฐกิจใดๆ เลย

คนจนของประเทศตามข้อมูลผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเดือนพฤศจิกายน 2563 จำนวน 14 ล้านคน ยังยิ่งจนลง ประชาชนระดับที่สูงกว่าคนจนหน่อย ก็ติดกับดักของการเป็นหนี้จนสลัดไม่ออก และรัฐบาลก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นหนี้เกษตรกร หนี้ครู ไปจนถึงหนี้ครัวเรือน มองในมิติไหนก็มีปัญหาหนักหมด นอกจากนี้ผู้ติดยาเสพติดก็ยิ่งขยายตัวมากขึ้น การคอร์รัปชั่นยิ่งมีมากยิ่งขึ้นในแทบจะทุกระดับ ตั้งแต่ข้าราชการตัวเล็กตัวน้อยไปถึงระดับสูง เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นปัญหาพื้นฐานของประเทศเรา ซึ่งดูได้ไม่ยาก จะขอแจกแจงให้ท่านผู้อ่านได้ช่วยกันวิเคราะห์ด้วยกัน ดังต่อไปนี้

Advertisement

เรื่องปัญหาสภาพของคนจนของประเทศไทย ตามตัวเลขผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐหรือบัตรคนจนจำนวน 14 ล้านคน ดังกล่าวข้างต้น ตัวเลขนี้สำคัญมาก เพราะทุกวันนี้รัฐบาลนี้ต้องหาเงินกู้ตัวเป็นเกลียวมาจ่ายเงินสวัสดิการให้แก่ประชาชนในทุกระดับ ซึ่งสวัสดิการพื้นฐานเป็นเงินชำระค่าสินค้าอุปโภคบริโภค โดยให้ผู้ถือบัตรคนจนที่ได้วงเงินซึ่งได้เพิ่มอีกตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้ เป็นคนละ 700-800 บาทต่อเดือน ต้องใช้เงินที่ได้ซื้อของใช้ที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต ซื้อสินค้าจากร้านค้าธงฟ้าประชารัฐ หรือร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการเท่านั้น ไม่สามารถไปกดมาเป็นเงินสดได้

นอกจากนี้ ผู้ถือบัตรคนจนในเขต กทม.และปริมณฑล ยังได้รับค่าเดินทางโดยรถสาธารณะอีกรายละ 500 บาท ได้รับส่วนลดการซื้อก๊าซหุงต้ม คนละ 45 บาทต่อ 3 เดือน และตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนนี้ ผู้พิการที่ถือบัตรคนจนจะได้รับเบี้ยผู้พิการเพิ่มจาก 800 บาทต่อเดือนเป็น 1,000 บาทต่อเดือนอีกด้วย ถือว่าดีมากที่รัฐได้จัดสวัสดิการให้คนจนทั้ง 14 ล้านคน

เมื่อวันที่ 31 ต.ค.63 นางสาวไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีเปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว. กลาโหมพอใจภาพรวมผลลัพธ์การแก้ไขปัญหาความยากจนให้คนจน 14 ล้านคน แต่ท่านรู้หรือเปล่าว่า เงินช่วยเหลือคนจนที่แจกจ่ายไปทุกวันนี้ คนจนได้รับแล้วก็ใช้ไป พอประทังความแร้นแค้นไปได้ชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่แก้ปัญหารากเหง้าความยากจนของพวกเขาได้ เมื่อไหร่รัฐจ่ายน้อยลงหรือหยุดจ่าย คนจนก็จะกลับสู่สภาพเดิมที่ไม่มีอะไรจะกินอยู่ดี เพราะรัฐบาลไม่มีความสามารถสร้างงานให้คนจนทำได้

ในประเทศไทยทุกวันนี้ ถ้าติดตามข่าวประจำวันของสื่อที่มีอยู่มากมายในประเทศขณะนี้ ก็ต้องรู้สึกสะท้อนใจกับข่าวปล้นฆ่าชิงทรัพย์ของคนจนประจำวัน ที่ออกมาในทำนองว่า ไปชิงทรัพย์แค่หลักร้อยหลักพันบาทก็ถึงกับต้องฆ่าแกงกัน การลักเล็กขโมยน้อยมีข่าวอยู่ทุกจังหวัดจนตำรวจดูแลไม่ไหว นี่มันเป็นสังคมอะไรกัน

เรื่องปัญหายาเสพติดที่ยิ่งรุนแรงมากขึ้น ที่กล่าวเช่นนี้ไม่ได้ไปอิงสถิติที่ไหนเลยเพราะการจะค้นหาสถิติในเรื่องนี้มันยากเต็มที อย่างไรก็ตาม หากติดตามข่าวการปราบปรามยาเสพติด ก็เห็นภาพได้ชัดว่ามีการจับกุมผู้ค้าผู้ขนยาเสพติดมากขนาดไหนบ้าง เรื่องนี้มีรายงานข่าวผ่านสื่อชัด เพื่อเป็นหลักฐานการยืนยันตัวเลขการให้รับสินบนนำจับแก่เจ้าหน้าที่

ที่รู้กันในหมู่ประชาชนทั่วไป คือยาเสพติดในสมัยนี้ซื้อหาได้ง่ายมากในประเทศนี้ และราคาก็ถูกกว่าในสมัยเมื่อ 10 ปีที่แล้วมาก ตัวราคาของยาเสพติดที่ตํ่าลงมากนี้ ไม่ได้หมายความว่าราคาถูกลงเพราะผู้บริโภคซื้อหากันน้อยเหมือนสินค้าอื่น แต่เป็นเพราะว่ามีสินค้าขายทั่วไปโดยไม่ขาดตลาดเสียมากกว่า จึงพออนุมานได้ว่า สมัยรัฐบาลยุค คสช.มาจนถึงปัจจุบันนี้คนไทยติด และเสพยาเสพติดกันมากขึ้น

เรื่องการคอร์รัปชั่น หรือการฉ้อราษฎร์บังหลวง เรื่องนี้มีสถิติดีมาก เพราะมีการสำรวจอย่างเป็นเรื่องเป็นราวจากสถาบันป้องกันคอร์รัปชั่นระดับอินเตอร์ โดยสถาบันที่ชื่อว่า “องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International -TI)” เป็นผู้รับผิดชอบจัดทำและเผยแพร่ดัชนีภาพลักษณ์การคอร์รัปชั่นในภาครัฐทั่วโลก (Corruption PerceptionsIndex-CPI) ประจำปี

สําหรับอันดับการคอร์รัปชั่นของในปี 2562 ปรากฏว่าประเทศไทยได้ 36 คะแนน จากคะแนนเต็ม 100 คะแนน เป็นอันดับคอร์รัปชั่นสูงที่ 101 จากจำนวนประเทศทั่วโลก 180 ประเทศ สูงกว่าปี 2561 ที่อยู่ในอันดับที่ 99 ส่วนของปี 2563 ยังไม่มีผลออกมา คงต้องรออีกประมาณ 2 เดือน ถ้าจะให้เดาก็คงจะสูงขึ้นไปอีกสัก 2-3 อันดับ คือจะยิ่งเลวร้ายลงไปอีกอย่างแน่นอน

ทั้งสามเรื่องที่ยกมากล่าวถึงข้างต้น ล้วนเป็นปัญหารากเหง้าของไทย วันเวลาที่ผ่านไปมีแต่หนักหนาและหมักหมมเข้าไปเรื่อย เป็นโรคร้ายของประเทศที่ดึงให้การเดินหน้าของประเทศไปไม่รอด และเมื่อมาเจอกับปัญหารัฐธรรมนูญที่ไม่เปิดให้ประเทศเดินหน้าได้เหมือนประเทศอื่น ทำให้เกิดปัญหาการเมืองตามมาจนยากที่จะแก้ไข ท่านผู้อ่านลองคิดดูให้ดีเถอะว่า ประเทศไทยเราจะผ่านกับดักเหล่านี้ไปได้อย่างไร

วัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่กำลังออกมาจะช่วยแก้วิกฤตได้แค่ไหนและเร็วหรือไม่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สังคมโลกได้พูดถึงมากในขณะนี้ นับตั้งแต่มีข่าวออกมาเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายนนี้ว่า บริษัทไฟเซอร์ อิงค์ บริษัทผลิตยาที่ใหญ่ของสหรัฐ ร่วมกับ BioNtech บริษัทผลิตยาใหญ่ของเยอรมนี ได้ประกาศชัดเจนว่าได้ผลิตวัคซีนป้องกันโรคร้ายนี้มีประสิทธิภาพถึง 90% และต่อมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก็มีข่าวเพิ่มเข้ามาอีกว่า บริษัทโมเดอร์นา (Moderna) บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพของสหรัฐได้ผลิตวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ได้ประสิทธิภาพถึง 94.5% คาดว่าภายในธันวาคมนี้ จะมีการยืนยันการผลิตวัคซีนแบบนี้อีกทั้งจากจีน หรือญี่ปุ่น หรือยุโรป

เรื่องวัคซีนทั้งสองข่าวที่ออกมานี้ ทำให้ทุกสำนักข่าวทั่วโลกเชื่อกันว่าจะสามารถหยุดยั้งการระบาดของโควิด-19 ได้ภายในเดือนเมษายน 2564 นี้แน่ ขณะเดียวกัน ผู้มีชื่อเสียงของโลกหลายคนก็ได้ออกมาพูดเรื่องการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีของโลกอย่างชัดเจน เช่น นายบิล เกตส์ มหาเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก ซึ่งนอกจากจะรํ่ารวยแล้วเขายังนำเงินส่วนตัวไปตั้งเป็นมูลนิธิเพื่อการกุศลช่วยคนจนมากมาย

นาย Tedros Adhanam เลขาธิการองค์การอนามัยโลกหรือ WHO ได้ออกมาให้ความเห็นอย่างชัดเจนว่า วัคซีนที่ออกมาจะประสบผลสำเร็จได้จริงก็ต่อเมื่อมีการผลิตและสามารถกระจายไปให้ประชากรของประเทศทั่วโลกได้อย่างทั่วถึงด้วย ไม่ใช่ใช้กันอยู่เฉพาะในประเทศที่ใหญ่ หรือประเทศที่รํ่ารวยเท่านั้น

บุคคลสำคัญของโลกอีกคนหนึ่งที่ได้ออกมาให้ความเห็นเรื่องวัคซีนอย่างชัดเจน คือนาง Kristalina Georgieva ซึ่งมีตำแหน่งเป็นกรรมการผู้จัดการ ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF เธอได้กล่าวว่า ในปี 2563 ที่กำลังจะสิ้นปีในเร็วๆ นี้ เศรษฐกิจโลกจะมีการหดตัวทางเศรษฐกิจถึง -4.6% ส่วนปีหน้า 2564 หลังประสบความสำเร็จจากการผลิตวัคซีนป้องกันโควิด-19 ได้ เศรษฐกิจโลกจะมีการขยายตัวได้ถึง +5.2% แต่ทั้งนี้จะต้องมีความพร้อมในการกระจายวัคซีนที่ผลิตได้ออกไปทั่วโลกภายในกลางปีหน้าให้ได้ เธอยังได้แนะว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะขยายตัวได้ดีก็ต่อเมื่อรัฐบาลทุกประเทศสามารถจัดความช่วยเหลือการผลิตภาคเอกชนให้เต็มที่ในทุกทาง มิฉะนั้นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจก็อาจจะแผ่วลงได้

จากนี้ไปประเทศที่พัฒนาแล้วเตรียมเดินหน้ากันอย่างไร จากข่าวทั่วโลกที่ได้ยินกันทั่วไปว่า แม้ขณะนี้การระบาดของโควิด-19 รอบสองยังรุนแรงมากในโลกนี้ แต่ขณะเดียวกัน ทุกประเทศที่โดนโรคระบาดหนัก ทั้งในสหรัฐอเมริกาและในยุโรป ต่างก็พยายามใช้มาตรการ Lockdown อย่างหนักและเข้มงวด คาดว่าก่อนถึงปีใหม่การระบาดของโรคคงจะเบาบางลงได้มาก

แต่พร้อมๆ กับการนำมาตรการป้องกันโรคมาใช้ ประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลายต่างก็ได้เตรียมตัวพร้อมที่จะกระโจนไปข้างหน้า เพื่อทำให้เศรษฐกิจขยายตัวควบคู่กับการมีวัคซีนออกมาใช้ป้องกันโรค เชื่อได้ว่าเขาจะต้องแข่งกันพลิกฟื้นเศรษฐกิจ พลิกฟื้นการหารายได้เข้าประเทศด้วยการค้าขายตามวิถีใหม่ และพลิกฟื้นในการสร้างความกินดีอยู่ดีให้คืนกลับมาสู่ประชาชนของเขาโดยเร็วอย่างแท้จริง ไม่ใช่พูดแต่ปากเหมือนผู้นำบางประเทศ

ถ้าจะเปรียบเหมือนการแข่งม้า ประเทศทั้งหลายต่างก็เตรียมพร้อมด้วยความกระเหี้ยนกระหือรือที่จะควบไปข้างหน้าด้วยม้าที่คึกคะนอง มีจ๊อกกี้ที่มีความสามารถกุมบังเหียนอยู่บนหลัง ถ้าเราจะเข้าแข่งกับเขาด้วย คนไทยเราคงต้องหลับตานึกภาพให้ออกว่าม้าแข่งของเราจะทะยานไปข้างหน้าเหมือนม้าตัวอื่นได้ไหม

ด้วยปัญหารากเหง้าสามเรื่องที่กล่าวมาข้างต้น คือ ปัญหาสภาพคนจนของไทย ปัญหายาเสพติด ปัญหาคอร์รัปชั่น บวกกับปัญหารัฐธรรมนูญและการเมืองที่ประชาชนรับไม่ได้ ล้วนเป็นตัวถ่วงขาทั้งสี่ของม้าไทยไม่ให้ก้าวควบไป แถมยังมีจ๊อกกี้ที่ดูเหมือนจะหมดสภาพอยู่บนหลังม้าเช่นนี้ แค่ก้าวเดินยังไม่ค่อยได้ แล้วจะให้ลงแข่งกับเขาได้อย่างไร

สมหมาย ภาษี

ติดตามบทความ สมหมาย ภาษี ที่เฟซบุ๊ก
Sommai Phasee — สมหมาย ภาษี

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image