ภาพเก่าเล่าตำนาน : บูชา-ชิงชัง ศาลเจ้ายาสุคุนิ เปิดเผยสาเหตุที่ชาวจีน เกาหลี เกลียด-โกรธ ญี่ปุ่น…7 ชั่วโคตร โดย พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

ในอดีตโพ้น…ญี่ปุ่นเคยปิดประเทศ…ไม่คบค้าสมาคมกับชาติตะวันตกมากกว่า 200 ปี ด้วยเกรงอิทธิพลทางความคิดชาวตะวันตกจะแทรกซ้อน ครอบงำ แฝงตัวเข้ามาในวัฒนธรรม อารยธรรม สังคมญี่ปุ่น ที่ “สูงส่ง” เหนือกว่าชนชาติใด…

พ.ศ.2401 (ช่วงรัชสมัยในหลวง ร.4) พลเรือจัตวา แมทธิว ซี. เพอร์รี แห่งกองทัพเรือสหรัฐอเมริกา นำเรือรบติดอาวุธมาเจรจากดดันให้เปิดประเทศ ในที่สุดรัฐบาลเอโดะลงนามในสนธิสัญญา “คานางาวะ” มีผลให้ญี่ปุ่นต้องเปิดเมืองท่าชิโมดะและฮาโกดาเตะให้ค้าขายกับสหรัฐอเมริกา และรับประกันความปลอดภัยของกะลาสีเรือแตกชาวอเมริกัน

ถือได้ว่า อเมริกา นำเรือรบมาบีบ มาขู่ขอให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศ คบค้า ติดต่อสัมพันธ์กันเป็นผลสำเร็จ…

หลังจากนั้น…ญี่ปุ่นก็ต้องทำสนธิสัญญาแบบเดียวกันกับประเทศตะวันตกอื่นๆ ซึ่งสนธิสัญญาเหล่านี้ก่อเกิดสิทธิพิเศษกับชาวต่างชาติ ชาวญี่ปุ่นไม่พอใจ…

Advertisement

ชาวอาทิตย์อุทัย เปิดโลกทัศน์ออกมาติดต่อสัมพันธ์กับชาติตะวันตก พบว่าตัวเองล้าหลัง รั้งท้ายชาติต่างๆ …ตัดสินใจ “ปฏิรูปประเทศ” เร่งด่วน วิทยาการที่ญี่ปุ่นต้องการ โหยหา เพื่อสร้างชาติ คือ วิศวกรรม อุตสาหกรรมหนัก การเกษตร

รัฐบาลส่งเยาวชนไปศึกษาต่างประเทศ เน้นวิชาวิศวกรรม …ในระยะเวลาไม่นานนัก ประชาชนเลือดบูชิโด สร้างชาติขึ้นมาแบบก้าวกระโดด

เมื่อถูกปลุกขึ้นมา ก็ต้องเร่งรีบก้าวให้ทันยุคสมัย ญี่ปุ่นสนับสนุนการรับเอาวิทยาการจากประเทศตะวันตก กลายเป็นดินแดนที่ก้าวหน้าทางอุตสาหกรรมแบบก้าวกระโดดแบบไม่น่าเชื่อ..

Advertisement

เมื่อกลายเป็นประเทศในแนวหน้าของธุรกิจอุตสาหกรรม สิ่งที่ต้องมองหา คือ ทรัพยากร ดินแดน แรงงาน ที่เกาะญี่ปุ่นมีน้อยนิด

กองทัพญี่ปุ่น ถูกสร้างตัวขึ้นมาอย่างมหึมา เพื่อผลประโยชน์ของชนชาติญี่ปุ่น ญี่ปุ่นต้องการแสวงหาดินแดน ทรัพยากรเพื่อที่จะนำมาป้อนโรงงานในประเทศ ให้กินดี มีสุข

จักรวรรดิญี่ปุ่นเริ่มมีความขัดแย้งกับประเทศข้างเคียง

คาบสมุทรเกาหลี ดินแดนบางส่วนของจีน รวมทั้งดินแดนบางส่วนของรัสเซีย ญี่ปุ่นก็เล็งไว้ เป็น เป้าหมายการยึดครอง…

ภาพเก่า…เล่าตำนาน ขอย้อนไปเปิดเผยความเป็นมาของ “ศาลเจ้ายาสุคุนิ” อันเป็นประเด็นความขัดแย้ง ความพยาบาท จากผลของสงครามที่กองทัพญี่ปุ่นไปก่ออาชญากรรม สังหารเพื่อนมนุษย์นับล้าน

ศาลเจ้ายาสุคุนิ (ศาลเจ้าสันติรัฐ) แห่งนี้ เป็นศูนย์กลางความขัดแย้งและความบาดหมางระหว่างประเทศที่รุนแรงที่สุดของญี่ปุ่น

ในอดีต… สงครามที่ญี่ปุ่นก่อขึ้นมาทั้งหมดส่วนใหญ่ ทหารจากแดนอาทิตย์อุทัยเป็น “ฝ่ายกระทำ” สู้รบ แย่งชิง สร้างชาติความเพื่อเป็น 1 ชาวญี่ปุ่นยกย่อง “การพลีชีพ” ของบรรพบุรุษที่เสียชีวิตในทุกสมรภูมิ

พ.ศ.2412 รัฐบาลญี่ปุ่นจัดสร้าง ศาลเจ้ายาสุคุนิ เพื่อเทิดทูนยกย่องทหารทั้งปวงที่เสียชีวิต ใครก็ตามที่ทำศึกสงครามเพื่อมาตุภูมิจะได้รับเกียรติสูงสุด ได้รับการบรรจุอัฐิ หรือจารึกชื่อ ณ สถานที่ตรงนี้

ศาลเจ้านี้ อยู่ในกรุงโตเกียว อุทิศให้กับทหารญี่ปุ่นกว่า 2,466,000 นายที่เสียชีวิตจากการต่อสู้ในนามของจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่นในช่วง 150 ปีที่ผ่านมา

ยาสุคุนิ ยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์สงครามญี่ปุ่นที่อุทิศให้กับสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เกาหลี จีน เห็นว่าญี่ปุ่น คือ ปีศาจร้ายผู้ก่อสงคราม

อาชญากรสงคราม ที่ไปสังหารประชานนับล้าน ไปรุกราน สังหารผู้บริสุทธิ์แสนจะโหดเหี้ยม

ขอนำท่านผู้อ่านย้อนไปในอดีต…ญี่ปุ่นสุดโหด

ญี่ปุ่นเคยยกทัพไปบุกคาบสมุทรเกาหลีแบบดื้อๆ 2 ครั้ง

ครั้งที่ 1 ระหว่าง พ.ศ.2135-2136 มีเป้าหมายที่จะยึดครองแผ่นดินเกาหลี

ครั้งที่ 2 พ.ศ.2140-2141 มีเป้าหมายเพื่อยึดครอง

ในขณะนั้น คาบสมุทรเกาหลียังมิได้ถูกแบ่งเป็น เหนือ-ใต้ ญี่ปุ่นเคยนำกำลังไปยึดถึงกรุงเปียงยาง…

ไม่ทราบว่า ทหารญี่ปุ่นในเวลานั้น…มีความคิด ถูกครอบงำ ถูกล้างสมองด้วย หลักการอะไร…ทหารญี่ปุ่นโหด เหี้ยม ผิดมนุษย์

ประชาชนเกาหลี ประชาชน เด็ก ผู้หญิง ถูกสังหารทิ้งจากความบ้าคลั่งแบบ สังหารเพื่อนมนุษย์ด้วยความสนุก ตื่นเต้น คึกคะนอง

ผู้เสียชีวิตนับล้าน ล้วนแล้วแต่ไม่มีทางสู้ มิได้ขัดขืน

ทหารญี่ปุ่นกระทำทารุณกรรม แผ่นดินดินแดนเกาหลี ประสบความสูญเสียอย่างใหญ่หลวงด้านวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และสาธารณูปโภค พื้นที่เกษตรกรรมจำนวนมากที่เสียหายจนมิอาจจะทำการเพาะปลูกได้

งานศิลปะ เครื่องมือ และเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเกาหลีจำนวนมากถูกยึด สูญหาย รวมไปถึงการลักพาตัวช่างเทคนิคและช่างฝีมือของเกาหลีไปทำงานในญี่ปุ่น

พระราชวังสำคัญอย่าง คยองบกกุง ชางด็อกกุง และชางกย็องกุง ถูกเผาทำลาย

ญี่ปุ่นตั้งใจจะลบเกาหลีออกจากแผนที่โลก… การสอนประวัติศาสตร์และภาษาเกาหลีในโรงเรียนถูกห้าม การแสดงออกทางวัฒนธรรมที่เป็นเกาหลีถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย

ชาวเกาหลีถูกบังคับให้มีชื่อเป็นภาษาญี่ปุ่น หนังสือพิมพ์ถูกห้ามตีพิมพ์ด้วยภาษาเกาหลี หนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์จำนวนมากถูกเผา

ชาวเกาหลีถูกทรมานแสนสาหัส หนีตายอพยพออกจากเกาหลีไปสู่แมนจูเรียและรัสเซีย

ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวเกาหลีถูกบังคับให้ร่วมมือกับญี่ปุ่น ชายชาวเกาหลีถูกเกณฑ์เข้าร่วมในกองทัพญี่ปุ่น ผู้หญิงจากจีนและเกาหลีราว 200,000 คน ถูกส่งตัวไปเป็นนางบำเรอของทหารญี่ปุ่น

นี่คือ รอยแค้นที่ชาวเกาหลียากจะลืมเลือน และ ไม่ขอให้อภัย…

ขอเปลี่ยนฉากไปที่การสังหารหมู่ที่เมืองนานกิง…ในแผ่นดินจีนครับ…

เมื่อญี่ปุ่น ต้องการสร้างจักรวรรดิญี่ปุ่น (Empire of the Sun) ขึ้นโดยการรวบรวมชาติ ดินแดนที่อยู่ใกล้เคียงตนให้ได้ เคราะห์ร้ายจึงตกกับ จีน แผ่นดินใหญ่ กับ เกาหลี

ช่วงนั้นเป็นเวลาที่จีนแตกฝ่ายเป็น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายโลกเสรี กับ ฝ่ายคอมมิวนิสต์ ญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรน้อยกว่ามาก หากเทียบกับจีน หากแต่ภายในของแผ่นดินจีนกำลังแย่งชิงอำนาจกันเอง ยังต้องมารบกับญี่ปุ่น…

ทหารญี่ปุ่นมีศักยภาพเหนือกว่าจีนมาก

เมืองนานกิง เป็นเป้าหมายของกองกำลังแดนอาทิตย์อุทัย เหล่าทหารญี่ปุ่นใช้เวลาไม่นานนัก ก็บุกยึดเมืองนานกิง (ช่วงปลายปี พ.ศ.2480)

เชลยศึกชาวจีนในเมืองนานกิง มีมากมหาศาลเกินกว่าจำนวนทหารญี่ปุ่นควบคุม จึงทำให้การดูแลเป็นไปได้ยาก ทางกองกำลังญี่ปุ่นจึงมีนโยบาย ให้กวาดล้างกำจัดเชลยศึกให้ได้มากที่สุด เพื่อลดจำนวนในการที่ต้องดูแล ทั้งการให้อาหาร ที่พัก ความปลอดภัย…

ปฏิบัติการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่นานกิง (Nanking Massacre) จึงเริ่มขึ้น เป็นประวัติศาตร์ที่น่าขยะแขยงของโลก

เชลยศึก ที่เป็นทหารและประชาชนมีมาก การที่ต้องกำจัดเชลยให้ได้ทีละมากๆ จึงต้องใช้ “การฆ่าหมู่”

ยิงทิ้ง ตัดคอ ทหารญี่ปุ่นต้องการกำจัดเชลยให้ได้ถึงวันละ 2,000 คน

ทหารญี่ปุ่นสวมวิญญาณ “สัตว์ป่า” ไม่แยกเชลยศึก ไม่ว่าจะเป็น ทหาร หรือ ประชาชน ต้องถูกฆ่าเหมือนกันหมด ให้ทหารใหม่ใช้ดาบปลายปืนแทง ใช้ซ้อมยิงเป้า ใช้ดาบซามูไรตัดคอ

เมื่อต้องฆ่าจำนวนมากไม่ทันใจ… ใช้น้ำมันราดจุดไฟเผาเป็นกลุ่ม ใช้ปืนกลกราดยิง หรือบังคับให้ยืนเรียงแถวหน้ากระดานหน้าหลุม จากนั้นตัดคอแถวแรกแล้วให้แถวที่สองผลักลงหลุม แล้วแถวที่สองก็มายืนหน้าหลุมแทน

บางครั้งใช้วิธีฝังทั้งเป็น โยนระเบิดมือใส่ในกลุ่ม ส่วนเหล่าบรรดาผู้หญิง พวกทหารญี่ปุ่นก็จะทำการข่มขืนก่อนแล้วจึงลงมือฆ่า และทหารก็ไม่ได้เลือก ไม่ว่าจะเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา หรือแม้กระทั่ง นักบวช แม่ชี ทหารญี่ปุ่นก็ไม่เว้น

การข่มขืนผู้หญิงในนานกิง เป็นไปแบบสนุกสนาน ผู้หญิงทุกรายถูกทหารรุมข่มขืนก่อนจะถูกฆ่าทิ้ง

ญี่ปุ่น ถือโอกาส ทดลอง พัฒนาอาวุธเคมี ชีวภาพ โดยจะเอาไปใช้ในสงคราม บรรดาเชลยศึกชาวนานกิง กลายเป็นหนูทดลอง การทดลองต่างๆ ของทหารญี่ปุ่น เป็นที่รังเกียจไปทั่วโลก

นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่น ทดลองใช้สารพิษทุกชนิดกับชาวจีน เพื่อทดสอบ ชาวจีนชายหญิง เสียชีวิตนับหมื่นราย

นำเชลยมาแช่ในน้ำแข็ง เพื่อศึกษาเรื่องเนื้อตายจากความเย็น ฉีดเชื้อโรคเข้าไปในร่างกาย แล้วเพาะเอาเชื้อเพื่อทดลองหาวัคซีนแก้

ทหารญี่ปุ่น นักวิทยาศาสตร์ สร้างให้นานกิงกลายเป็นนรกบนดิน

ตลอดระยะเวลาราว 6 สัปดาห์ ชาวจีนผู้บริสุทธิ์ เสียชีวิตจากฝีมือทหารญี่ปุ่นไปราว 3 แสนคน ทั้งชาย หญิง เด็ก คนชรา …(.มีภาพปรากฏที่ผู้เขียนไม่สามารถนำมาเผยแพร่ได้) …

หลังสงครามโลก เมื่อจักรวรรดิญี่ปุ่นพ่ายแพ้ ผู้บัญชาการทหารของญี่ปุ่นที่สั่งการสังหารหมู่แห่งนานกิงใน 6 สัปดาห์นั้น คือ นายพลโคโซอูฟู (Kosoufu) ในวัย 66 ปี ได้ถูกตัดสินคดีโดยคณะตุลาการจาก 11 ชาติ

มีนาคม 2491 เขาถูกประหารชีวิตโดยการยิงเป้าที่ประตูจงฮวาเหมิน ประตูเมืองแห่งแรกที่เขาได้เคลื่อนพลทั้งกองทัพเข้าเหยียบย่ำนครนานกิง ในฐานะอาชญากรสงคราม รวมทั้งผู้มีส่วนร่วมในการสังหารหมู่อีก 28 คน ที่ได้ถูกตัดสินให้ประหารชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้ว

ต่อมา…ญี่ปุ่น ก่อสงครามโลกครั้งที่ 2

7 ธันวาคม 2484 เรือบรรทุกเครื่องบินกองทัพญี่ปุ่นแล่นข้ามมหาสมุทรไปราว 4,000 ไมล์ ฝูงบินเดนตายลูกซามูไร ไปถล่มเรือรบสหรัฐที่จอดทอดสมอในอ่าวเพิร์ล รัฐฮาวาย ของอเมริกา ทหาร พลเรือนสหรัฐเสียชีวิตราว 2,400 คน ฐานทัพพินาศบางส่วน

วันรุ่งขึ้นวอชิงตันประกาศสงครามกับญี่ปุ่น

บิ๊กเบิ้มสหรัฐ ถ่ายน้ำหนัก โยกทหาร อาวุธ มายังสมรภูมิในมหาสมุทรแปซิฟิก สงคราม 4 มิติ บก น้ำ อากาศ และใต้น้ำ

นักรบทั้ง 2 ชาติ เป็น “มวยคู่เอก” ของโลก ต้องยอมรับว่าเป็น “นักรบ” มืออาชีพ เสียชีวิตกันมหาศาลทั้ง 2 ฝ่าย

ช่วงแรก…สหรัฐยังตั้งหลักไม่ติด เครื่องยนต์ร้อนช้า ผ่านไปราว 1 ปีเศษ อเมริกันเดินหน้าเต็มอัตราศึก ระดมทหารมาทำสงครามกับทหารลูกพระอาทิตย์ผู้ยอมสละชีพ ทรัพยากร ทหาร อาวุธ ของสหรัฐเหนือชั้นกว่า… กองทัพญี่ปุ่นออกอาการแผ่วปลาย

สหรัฐรบกับทหารญี่ปุ่นในย่านแปซิฟิกแบบเลือดเดือดราว 4 ปี

สหรัฐขอปิดฉากสงครามแบบหฤโหด …6 และ 9 สิงหาคม 2488 สหรัฐประเคน ปรมาณู 2 ลูก จากอากาศยานสหรัฐทิ้งระเบิดใส่เมือง ฮิโรชิมา และ นางาซากิ เพื่อให้งานเลี้ยงเลิกรา ชาวญี่ปุ่นตายไปเกือบ 3 แสนคน

หลังการทิ้งระเบิดลูกที่สองเป็นเวลา 6 วัน ญี่ปุ่นประกาศตกลงยอมแพ้สงครามต่อฝ่ายพันธมิตรเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.2488

พระจักรพรรดิญี่ปุ่น ทรงประกาศทางวิทยุกระจายเสียง ขอยอมแพ้

มีการลงนามในสัญญายอมแพ้ บนเรือ เรือรบยูเอสเอส มิสซูรี

ผู้ชนะ…คือ ผู้ชนะ สหรัฐจัดตั้งศาลพิเศษ เห็นว่านี่เป็นอาชญากรรมสงคราม มีคนตายนับล้าน ต้องหาตัว “ผู้รับผิดชอบ-ผู้ก่อสงคราม”

วันที่ 23 ธันวาคม 2491 พลเอก ฮิเดกิ โตโจ (Hideki Tojo) ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยการแขวนคอ พร้อมนายพลคนสำคัญอีก 6 คนในเรือนจำซูกะโมะ กรุงโตเกียว

อัฐิของนายพล ฮิเดกิ โตโจ ถูกนำไปเก็บไว้บริเวณศาลเจ้ายาสุคุนิเช่นเดียวกับนายทหารญี่ปุ่นคนอื่นๆ ในสงครามโลกครั้งที่ 2

นายพลโตโจ เป็นอาชญากรสงคราม มีผู้ประท้วงจำนวนมากที่เห็นว่าเขาคือผู้ที่นำหายนะมาให้ญี่ปุ่น แต่ชื่อของเขาก็ยังได้รับการยกย่องในฐานะนายทหารที่สละชีพเพื่อพระจักรพรรดิ

เกาหลี และ จีน คือชนชาติที่โดนญี่ปุ่นย่ำยี สังหาร นับล้านคน ผูกใจเจ็บต่อการกระทำของกองทัพ และรัฐบาลญี่ปุ่น ที่ยกย่องบูชา ยาสุคุนิ

ชนรุ่นลูก หลาน รังเกียจ “ปีศาจสงคราม” ชาวญี่ปุ่น ในขณะที่ชาวญี่ปุ่นส่วนหนึ่งเห็นว่าสงครามที่ญี่ปุ่นก่อขึ้น เพื่อต่อสู้เพื่อปลดปล่อยเอเชียจากจักรวรรดินิยมตะวันตกโดยไม่สนใจการสังหารโหดของกองทัพ

ดังนั้น….เมื่อใดก็ตามที่ปรากฏข่าวว่า นายกรัฐมนตรีและสมาชิกคณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นเข้าเยี่ยม สักการะศาลเจ้ายาสุคุนิ นั่นคือ การเหยียบย่ำหัวใจชาวจีน และเกาหลี รวมทั้งไต้หวัน

ชาวญี่ปุ่นจำนวนมาก รวมทั้งผู้นำประเทศ ยังยืนหยัดขอแสดงความเคารพต่อญาติที่เสียชีวิต ยาสุคุนิและกลุ่มอนุรักษนิยมเห็นว่า ผู้นำควรให้เกียรติผู้เสียชีวิตในสงคราม

ศาลเจ้ายาสุคุนิ เป็นสัญลักษณ์ของความขัดแย้งทางสายโลหิต แสนเจ็บปวด ที่ยังจะส่งผลต่อความรู้สึกไปอีกแสนนาน…

นี่คือ เหตุผลที่ชาวจีนและชาวเกาหลี ชิงชัง รังเกียจ ศาลเจ้า ยาสุคุนิ….

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image