ผู้เขียน | ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช |
---|
ไวรัสโคโรนาระบาดครบหนึ่งปี
หลังจากที่คณะกรรมการสาธารณสุขเมืองอู่ฮั่นได้ออกประกาศฉุกเฉินเกี่ยวกับการพบเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2019 เป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม
หนึ่งปีผ่านไป มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกเกินกว่า 80 ล้านคน การต่อต้านโรคของหลายประเทศไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าด้านจุลภาคอันเกี่ยวกับชีวิตประจำวัน ไม่ว่าด้านมหัพภาคอันเกี่ยวกับเศรษฐกิจและสถานการณ์โลก มีการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
ก็เพราะอคติ ความเห็นแก่ตัว และการเล่นการเมือง จึงเป็นเหตุให้การเจรจาความร่วมมือระหว่างประเทศอันเกี่ยวกับการต่อต้านไวรัสประสบความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง
มีคนจำนวนไม่น้อยฝากความหวังไว้กับวัคซีน
มีความเชื่อว่า กลางปี 2021 ไปแล้วก็จะพ้นวิกฤตไวรัส แต่ในความเป็นจริง วัคซีนเพียงเพื่อลดปริมาณการติดเชื้อเท่านั้น มิได้หมายความว่าจะไม่มีการระบาดต่อไป
ความคิดที่ว่า เหตุการณ์ไวรัสระบาดใกล้จะสิ้นสุดแล้วนั้น คือภาพลวงตา
ดังนั้น การระบาดของไวรัส ไม่ว่าที่มาจากภายนอก ไม่ว่าจากการแพร่ระบาดในประเทศ
ยังต้องยืดเยื้อต่อเนื่องไปเป็นเวลานาน
ย้อนอดีตเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2019 สำนักงานสาธารณสุขเมืองอู่ฮั่น หูเป่ย์ ได้ออกประกาศฉุกเฉินแจ้งเกี่ยวการช่วยเหลือผู้ป่วยปอดอักเสบ ก็ได้มีการแพร่ข่าวออนไลน์โดยพลัน
วันรุ่งขึ้น ได้ออกประกาศเป็นทางการว่า “อู่ฮั่นได้พบโรคปอดอักเสบที่ไม่ทราบสาเหตุ”
แม้เป็นข่าวที่ได้รับความสนใจจากภายนอกมากอยู่ แต่ไม่มีผู้ใดคิดว่า
เป็นการเริ่มต้นของไวรัสระบาดแห่งศตวรรษ
ระยะเวลาอันสั้นเพียงไม่กี่เดือน COVID-19 กลายเป็นโรคระบาดทั่วโลก
ต่อมาเดือนมีนาคม องค์การอนามัยโลกได้ออกประกาศว่า เป็นการระบาดใหญ่ของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (CORONAVIRUS PANDEMIC) อันมี ยุโรป สหรัฐ ลาตินอเมริกา รัสเซีย อินเดีย แอฟริกาใต้ได้ทยอยกันกลายเป็นพื้นที่โรคระบาด
ล่าสุด ปรากฏว่าเกิดวิกฤตโคโรนากลายพันธุ์ และการแพร่กระจายรวดเร็วขึ้นมาก
ย้อนมองอดีต ประเทศจีนใช้มาตรการปิดเมือง เหตุการณ์ระบาดยุติอย่างรวดเร็ว ต่อมาแม้มีผู้ติดเชื้อประปราย แต่ก็สามารถขจัดปัญหาได้ในเวลาอันสั้น
การที่มีนักท่องเที่ยวนับหมื่นไปเที่ยว “สวนน้ำอู่ฮั่น” นั้น
ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่า เมืองอู่ฮั่นกลับสู่สภาพปกติรวดเร็วยิ่ง
เป็นที่เซอร์ไพรส์ของประชาคมโลก
หนึ่งปีผ่านไป ณ วันที่ 30 ธันวาคม 2020
1 มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกเกินกว่า 82 ล้านคน
1 มีผู้เสียชีวิตทั่วโลกเกินกว่า 1.8 ล้านคน
เมื่อย่างเข้าฤดูหนาว การระบาดของไวรัสในยุโรปและสหรัฐรุนแรงและเข้มข้นมากขึ้น
สหรัฐและสหราชอาณาจักรต่างได้วางแผนฉุกเฉินเตรียมการฉีดวัคซีนป้องกัน ทว่า จำนวนการระบาดของทั้งสองประเทศรุนแรงขึ้นตามลำดับ มีขึ้นไม่มีลง บางวันก็ทำลายสถิติ
ครั้นเมื่อเกิดไวรัสสายพันธุ์ใหม่กลายพันธุ์ ก็ได้รุกรานไปยังยุโรป มีหลายประเทศห้ามเครื่องบินสหราชอาณาจักรเข้าประเทศ และเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2020 เพียงวันเดียว สหรัฐมีผู้ติดเชื้อเกินกว่า 2.7 แสนคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงสุดในโลกตั้งแต่เริ่มต้นที่มีการระบาด
ผู้เชี่ยวชาญโรคติดต่อสหรัฐนาม Anthony fauci กล่าวว่า การระบาดในเดือนมกราคม 2021 จะมีความเลวร้ายกว่าเดือนธันวาคม 2020
พิเคราะห์จากแนวโน้มการสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างต่อเนื่องของไวรัส ก็พอจะอนุมานได้ว่า อัตราคนติดเชื้อทั่วโลกทะลุ 100 ล้านคน ในอนาคตอันใกล้ ไม่น่าจะเกินความคาดหมาย
ไม่ว่าประเทศใด ไม่ว่าภูมิภาคใด ไม่ว่าจังหวัดใด หากเหตุการณ์ระบาด ไม่ว่าจะเกิดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นอย่างที่แก้ตัวว่าไม่ใช่รอบ 2 หากเป็นการระบาดรอบใหม่นั้น
ย่อมหมายถึงการบริหารจัดการ หรืองานการต่อต้านโรคระบาด มีความบกพร่องแน่นอน
โรคระบาดไวรัสเป็นตัวทำลายความเจริญเติบโตเศรษฐกิจโลกอย่างมหันต์
ท่ามกลางภาวะวิกฤตเช่นนี้ ทุกประเทศในโลกควรจะต้องช่วยเหลือซึ่งกันและร่วมมือกันเสมือนลงเรือลำเดียวกัน แต่หาเป็นเช่นนั้น ความจริงปรากฏว่าตรงกันข้าม
จึงเป็นเหตุให้บางประเทศประสบกับความล้มเหลวในการทำงานครั้งนี้
เมื่อเป็นเช่นนี้ องค์การอนามัยโลกและประเทศจีนจึงกลายเป็นเป้าหมายการโจมตีของวอชิงตัน ปัญหาโคโรนาสายพันธุ์ใหม่กลายพันธุ์ ก็ได้กลายพันธุ์เป็นประเด็นการเมืองไปด้วย
ประเทศจีนถูกโจมตีว่าเป็นต้นตอแห่งการเกิดโรคระบาด
องค์การอนามัยโลกถูกโจมตีว่าการแก้ปัญหาไม่สัมฤทธิผล
ต้องยอมรับว่าวิกฤตไวรัสระบาดครั้งนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงโลกอย่างแท้จริง และเปลี่ยนแปลงชีวิตประจำวันของคนทั่วโลก เป็นต้นว่าการใช้ชีวิตอย่างมีเหตุมีผลอย่างการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศ ก็กลายเป็นเรื่องที่เป็นไปมิได้แล้ว
การใช้ชีวิตประจำวันในขณะนี้ คนส่วนใหญ่สวมหน้ากากอนามัย ลดละการชุมนุมและรักษาระยะห่างทางสังคม จนกลายเป็นสิ่งที่ขาดมิได้ในแต่ละวัน แต่ก็มีคนส่วนหนึ่งเบื่อหน่ายต่อการป้องกันเชื้อโรค จึงละเลยปฏิบัติการดังกล่าว
และก็มีบางประเทศมองข้ามความเสี่ยงในการติดเชื้อโรคระบาด จึงคัดค้านต่อต้านมาตรการการป้องกัน ปัญหาจึงเกิด
ส่วนการศึกษาค้นคว้าวัคซีนในการป้องกันไวรัสนั้น เริ่มมีข่าวดีแพร่ออกมาเป็นระยะ การออกประกาศของบริษัทผลิตวัคซีนหลายแห่งได้รับความสนใจจากแถบยุโรปและสหรัฐมิใช่น้อย
เพราะเข้าใจกันว่า ครั้นเมื่อวัคซีนออกมาแล้ว ก็จะเป็นหนทางแห่งการพ้นทุกข์ ทั้งนี้ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบจากการต่อต้านคัดค้านวัคซีน ตลอดจนวัคซีนชาตินิยม รวมทั้งปัญหาการกักตุนสินค้าของประเทศร่ำรวย เป็นต้น
ส่วนใหญ่จะมองไปที่มีจำนวนจำกัด จึงแย่งกันสั่งแย่งกันซื้อ ปัญหากักตุนจึงเกิด
ประเด็นที่น่ากังวลที่สุดคือ ชีวิตมนุษย์จะกลับสู่สภาพปกติโดยเร็ว เหมือนสภาพการณ์ก่อนเกิดโควิคหรือไม่ คือ “คำถาม”
อันวัคซีนป้องกันโควิดมีบริษัทของเยอรมนีชื่อ BioNTech และบริษัท Moderna ในสหรัฐต่างประกาศว่าใช้ได้ผล 90% หากเป็นการหมายถึงผู้ที่ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว เมื่อติดเชื้อจะลดความเสี่ยง 90% ในการกลายเป็นอาการหนักเท่านั้น แต่มิได้หมายความว่าผู้ที่รับการฉีดวัคซีนแล้ว จะไม่ติดเชื้อ และก็ไม่ตัดประเด็นการแพร่เชื้อต่อไปยังผู้อื่น
ส่วนองค์กรที่ค้นคว้าการผลิตวัคซีนอื่น เช่น มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เป็นต้น
สรรพคุณและขอบเขตการใช้ก็อยู่ในระนาบเดียวกัน
ส่วนปัญหาที่ผู้ได้รับการฉีดวัคซีนแล้วมีโอกาสติดเชื้อหรือไม่นั้น “Moderna” เพียงส่งผลการวิเคราะห์เบื้องต้นเกี่ยวกับอัตราส่วน กล่าวคือ อัตราส่วนการฉีดวัคซีนที่ปรากฏผลบวกต่ำกว่ากับการฉีดยาหลอก (Placebo) แต่ไม่มีตัวเลขที่สมบูรณ์มาทำการยืนยันได้ ตลอดจนหลักฐานการสุ่มตัวอย่างก็มีไม่ครบที่จะทำให้เชื่อได้ว่าสัมฤทธิผลอย่างแท้จริง
อีกหนึ่งบริษัทคือ Pfizer ซึ่งเป็นหุ้นส่วนของ BioNTech ไม่มีหลักฐานแสดงการทดลอง
แม้ว่า การผลิตวัคซีนไวรัสได้ผ่านขบวนการแก้ไขปรับปรุงแล้วก็ตาม ก็ยังไม่มีการรับรองว่าผู้ฉีดวัคซีนจะได้รับการป้องกันจริง และก็ไม่ตัดประเด็นในการระบาดต่อไปยังผู้อื่น
คงต้องใช้เวลาอีกนานเพื่อทำการศึกษาค้นคว้า
ขณะนี้จึงสามารถกล่าวได้เพียงว่า ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วยังมีแนวโน้มแพร่เชื้อได้ต่อไป
ฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจว่ามีวัคซีน สามารถเข้า-ออกประเทศเพื่อไปท่องเที่ยวตามอำเภอใจ มิต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคนั้น
เป็นการมองเหรียญเพียงด้านเดียว
ศ.ชยานันต์ ศุกลวณิช