เด็กไทยยุคโควิด-19

เด็กไทยยุคโควิด-19

เด็กไทยยุคโควิด-19

เด็กหรือเยาวชนของคนทุกชาติศาสนาภาษาชนเผ่าในโลกของเรานี้ต้องเผชิญกับสภาพของปัญหาที่รุมเร้าทั้งจากสภาพของสุขภาพร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ภูมิคุ้มกันของชีวิตทั้งจากครอบครัว ชุมชน สังคม สภาพแวดล้อม เทคโนโลยี เศรษฐกิจ รวมไปถึงระบบการเมืองการปกครองของแต่ละประเทศที่ยากยิ่งจะหลีกเลี่ยงและปฏิเสธในบริบทดังกล่าวไปได้

องค์การอนามัยโลก (World Health Organization) และกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือยูนิเซฟ (UNICEF) ได้มีงานวิจัยที่ได้เผยแพร่ในวารสารการแพทย์แลนเซ็ท (The Lancet) ในเรื่องอนาคตของเยาวชนโลกใน 180 ประเทศทั่วโลก ในประเด็นของภาวะสุขภาพความเป็นอยู่ที่ดี ภาวะโภชนาการ การศึกษา อัตราการเสียชีวิตรวมถึงปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม อาทิ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยในอันดับที่หนึ่งที่กล่าวถึง “ความรุ่งโรจน์ของเด็ก” ได้แก่ประเทศนอร์เวย์ รองลงมาก็คือ ประเทศเกาหลีใต้ เนเธอร์แลนด์ ส่วนเมืองไทยเราถูกจัดอยู่ในลำดับที่ 64 (BBC.COM)

“ดัชนีแห่งความยั่งยืน” โดยพิจารณาและวัดถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกินเป้าหมายก๊าซเรือนกระจกที่ถูกกำหนดถึงปี 2030 มีประเทศที่ปล่อยก๊าซดังกล่าวเกินเป้าถึง 1,716 เปอร์เซ็นต์ ก็คือประเทศกาตาร์ รองลงมาก็คือประเทศตรินิแดดและโตเบโก สหรัฐอเมริกา แคนาดา สิงคโปร์ จีนและอังกฤษ สำหรับประเทศไทยเราอยู่ในลำดับที่ 122 ที่ปล่อยก๊าซเกินกำหนด 77 เปอร์เซ็นต์ สำหรับข้อตกลงของการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals : Goals) ในประเทศสมาชิกสหประชาชาติ (UN) ที่ได้ตั้งเป้าหมายไว้ในปี 2015 ที่ต้องลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จาก 39.7 พันล้านตัน ให้เหลือ 22.8 พันล้านตัน ภายในปี 2030 เพื่อให้อุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงไม่เกิน 1.5 องศาเซลเซียส…

Advertisement

งานวิจัยดังกล่าวได้ชี้ให้เห็นว่า การทำการตลาดในระบบธุรกิจโดยในแต่ละปีเยาวชนสามารถเข้าถึงการโฆษณามากกว่า 30,000 ชิ้นต่อปี ทั้งการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ สิ่งเสพติดประเภทอื่น น้ำอัดลมที่มีปริมาณน้ำตาลมากรวมถึงอาหารจานด่วน โดยพบว่าในปี 2019 เด็กเยาวชนทั่วโลกในจำนวน 2.3 พันล้านคน มีน้ำหนักเกินมาตรฐาน และอีก 150 ล้านคน มีการเจริญเติบโตของร่างกายที่ไม่สมบูรณ์ไปตามเกณฑ์ที่กำหนด

หากเราท่านได้ติดตามถึงเด็กเยาวชนหญิงคนหนึ่งที่ชื่อ เกรียตา ทุนแบร์ย ในวัย 16 ปี ชาวสวีเดน ที่ได้รณรงค์ให้รัฐบาลและประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้เห็นถึงภาวะของโลกร้อน เรือนกระจกเขาได้ไปกล่าวสุนทรพจน์ในการเปิดประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก ที่เมืองนิวยอร์กของสหรัฐอเมริกา เมื่อปีเศษที่ผ่านมาแล้วตอนหนึ่งที่ว่า “ฉันไม่ควรมาอยู่ตรงนี้ ฉันควรกลับไปเรียนหนังสืออีกฟากของมหาสมุทร โดยตั้งใจพักการเรียน 1 ปี มาเพื่อเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อม พวกคุณฝากความหวังไว้กับคนหนุ่มสาว ขโมยความฝันในวัยเด็กด้วยคำพูดที่เลื่อนลอย ผู้คนทั่วโลกกำลังเผชิญกับความทุกข์ยาก ผู้คนกำลังล้มตาย ระบบนิเวศกำลังล่มสลาย…”

สังคมไทยเราในวันนี้หรือวันเวลาเมื่อย้อนกลับไปในอดีตกาล เด็กไทยเราหลายคนมีความเก่ง ความฉลาด ความสามารถในหลากหลายมิติ แต่เราท่านมิได้พบเห็นถึงเด็กไทยเราที่ได้ก้าวไปสู่ระบบความคิด การมองโลกที่จะได้รับผลกระทบในอนาคตในภาพรวม คำถามหนึ่งก็คือ อะไร เหตุใดที่ทำให้เด็กไทยหลายคนไปไม่ถึงฝันที่ได้คิดคำนึงถึงความฝันทั้งของตนเองและครอบครัวไว้ ข้อเท็จจริงหนึ่งที่ได้พบเห็นในเชิงประจักษ์ก็คือ เด็กเยาวชนไทยวันนี้ต้องอยู่ภายใต้สังคมแห่งเงินนิยม บริโภคนิยม วัตถุนิยม ทุนนิยมมิอาจจักรวมถึงภาวะแห่งการเมืองที่ดูเสมือนเขาเหล่านั้นจักหาประตูทางออกให้ตนเองและประเทศชาติได้อย่างไร

Advertisement

ตัวเลขของประชากรไทยทั้งประเทศจากส่วนบริหารและพัฒนาเทคโนโลยีการทะเบียน สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ในปี พ.ศ.2562 มีประชากรทั้งประเทศ 66.56 ล้านคน โดยมีจำนวนตัวเลขของเด็กที่อายุ 0-14 ปี ในจำนวน 11,346,575 คน เยาวชนไทยอายุ 15-24 ปี ในจำนวน 8,982,619 คน คนวัยทำงานอายุ 25-54 ปี ในจำนวน 31,518,936 คน คนในวัย 55-64 ปี มีจำนวน 8,974,878 คน และประชากรสูงอายุวัย 65 ปีขึ้นไปในจำนวน 8,154,392 คน ในจำนวนนี้หากเราท่านได้เห็นตัวเลขของคนสูงวัยที่มีจำนวนกว่า 17 ล้านคน และจำนวนของเด็กเยาวชนในตัวเลข 20 ล้านคนเศษ ซึ่งมีตัวเลขแห่งความห่างอย่างมีนัยสำคัญทั้งการดำเนินนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลทั้งงบประมาณ เงินที่สนับสนุนทั้งการศึกษาคุณภาพชีวิตของเด็กเยาวชนและผู้สูงอายุไทยเรา…

วันที่ 20 กันยายน ของทุกๆ ปี รัฐบาลได้กำหนดให้เป็นวันเยาวชนแห่งชาติ คุณภาพชีวิตของเด็กเยาวชนไทยเราในรอบปีหรือหลายทศวรรษที่ผ่านมาเด็กเยาวชนบางคนต้องเผชิญกับสภาพปัญหาของครอบครัวแตกแยก การทำร้ายร่างกาย จิตใจจากครอบครัว การถูกทอดทิ้ง การเจ็บป่วยพิการทั้งจากโรคบางประเภทและอุบัติเหตุ ออกจากระบบการศึกษา การถูกล่วงละเมิดทางเพศ ปัญหาการพนัน ยาเสพติด เด็กแว้น ท้องในวัยเรียน เสพติดเกม การทำร้ายร่างกาย การฆ่ามีหลายคนกลายเป็นยุวอาชญากรที่ต้องโทษในทัณฑสถาน สถานพินิจอยู่ทั่วเมืองไทย ในจำนวนนี้มีเด็กเยาวชนไทยที่พิการตาบอด หูหนวก แขนขาพิการ บกพร่องในการเรียนรู้ เรียนรู้ช้า มิอาจจักรวมถึงเด็กเยาวชนบางคนที่ถูกบูลลี่ ที่เกิดความเครียด เก็บตัว ซึมเศร้า ไม่มีสมาธิในการเรียน…

ทุกๆ ปีในวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคม รัฐบาลไทยได้กำหนดให้เป็นวันเด็กแห่งชาติ (National Children’s Day)

ความเป็นมาของวันเด็กไทยเริ่มจากคำเชิญชวนของนาย วี.เอ็ม. กุลกานี ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างสหประชาชาติ ในเดือนตุลาคม พ.ศ.2498 เพื่อให้ความสำคัญและความต้องการของเด็ก ในช่วงแรกๆ ของเมืองไทยเราได้มีการจัดงานวันเด็กในวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมมาจนถึงปี พ.ศ.2506 สำหรับคำขวัญวันเด็กไทยที่มีครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.2499 ในสมัยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่เป็นนายกรัฐมนตรีที่ว่า “จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม”

สำหรับคำขวัญวันเด็กไทยปีนี้ พ.ศ.2564 โดยพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ก็คือ “เด็กไทยวิถีใหม่ รวมไทยสร้างชาติ ด้วยภักดีมีคุณธรรม” คำขวัญในปี พ.ศ.2563 “เด็กไทยยุคใหม่ รู้รักสามัคคี รู้หน้าที่พลเมือไทย” คำขวัญปี พ.ศ.2562 “เด็ก เยาวชน จิตอาสา ร่วมพัฒนาชาติ” คำขวัญปี พ.ศ.2561 “รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี” คำขวัญปี พ.ศ.2560 “เด็กไทยใส่ใจศึกษา พาชาติมั่นคง” คำขวัญวันเด็กปี พ.ศ.2559 “เด็กดี หมั่นเพียร เรียนรู้ สู่อนาคต” คำขวัญปี พ.ศ.2558 “ความรู้คู่คุณธรรม นำสู่อนาคต” และปี พ.ศ.2557 ในสมัยของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีคำขวัญ “กตัญญู รู้หน้าที่ เป็นเด็กดี มีวินัย สร้างไทยให้มั่นคง”

ผู้เขียนต้องขออนุญาตต่อท่านผู้อ่านที่มิอาจจักนำคำขวัญวันเด็กย้อนไปทุกๆ ปี จนกระทั่งถึงคำขวัญวันเด็กครั้งแรกของเมืองไทยได้หากต้องการเรียนรู้สามารถเข้าไปค้นหาในสังคมของโลกแห่งเทคโนโลยีจากโทรศัพท์มือถือได้อย่างรวดเร็ว สิ่งหนึ่งที่เราท่านจักสังเกตได้ง่ายอย่างหนึ่งก็คือ คำขวัญวันเด็กที่มาจากตำแหน่งของการบริหารสูงสูดของรัฐบาลก็คือ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวไว้ ผู้เขียนรวมถึงท่านผู้อ่านหลายท่านที่ว่า เด็กเยาวชนไทยจักจำทุกคำ ประโยคในคำขวัญวันเด็กอย่างมิรู้ลืมหรือไม่ หรือว่าสามารถคิด วิเคราะห์แล้วมีการถกเถียงเสนอแนะถึงความเป็นไปได้แห่งการปฏิบัติตามคำขวัญนั้นๆ หรือไม่

คำขวัญวันเด็กที่นายกรัฐมนตรีได้ให้ไว้กับเด็กเยาวชนไทยเราทั้งประเทศในเวลานี้ มีความย้อนแย้งทั้งระบบความคิด ความรู้ ความเชื่อ อุดมการณ์แห่งความเป็นจริงของชีวิตเขาและสถานการณ์ของประเทศไทยเราและสถานการณ์โลกในเวลานี้ดีแค่ไหน เพียงไร ในรอบปีที่ผ่านมา รัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีได้ถูกกระแสแห่งม็อบปลดแอก ประท้วงขอให้ลาออก ยุบสภา ปฏิรูปประเทศในบริบทต่างๆ คำตอบที่อยู่ในข้อเท็จจริงกลับไปยังเขาเหล่านั้นก็คือ “ไม่ลาออก”

วันเวลานี้ในอนาคตของเด็กเยาวชนไทย ประชาชนคนไทยเราทั้งประเทศรวมถึงประชาคมโลกต้องเผชิญกับเชื้อโรคไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดอย่างรวดเร็ว ทั่วถึง เท่าเทียม รัฐนาวาของรัฐบาลไทยในปี 2564 ที่ต้องเผชิญทั้งโรคระบาด ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องของชาวบ้าน คุณภาพชีวิตของเด็กเยาวชนที่ต้องอยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติอีกวาระหนึ่ง ปัญหาการเมืองที่กระทบไปยังอนาคตของประเทศของเขาเหล่านั้นยังคงเสมือนฝุ่นที่อยู่ใต้พรม หรือคลื่นใต้น้ำจักได้รับการแก้ไขหรือรับฟังสภาพของปัญหาจากหัวใจที่บริสุทธิ์ของเขาเหล่านั้นเพื่อประเทศชาติที่จักวัฒนาผาสุกในวันข้างหน้าอย่างดีแล้วหรือไม่…

เฉลิมพล พลมุข

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image