ลองไล่เช็กรายชื่อองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ออกมาประกาศทุ่มงบประมาณ จัดซื้อวัคซีนป้องกันโควิด-19 นำมาฉีดให้กับประชาชนในพื้นที่ของตนเอง มียอดเกิน 20 กว่าแห่งแล้ว จากข้อมูลถึงวันที่ 16 มกราคม
ส่วนใหญ่เป็นระดับเทศบาลนคร เทศบาลเมือง ที่มีรายได้ค่อนข้างมาก จึงมีกำลังทรัพย์มากพอที่จะทุ่มจัดซื้อวัคซีน
รวมตัวเลขที่ อปท. 20 กว่าแห่งประกาศจัดซื้อยอดเกิน 1,000 กว่าล้านบาท
มากที่สุดเป็นเทศบาลนครนนทบุรี 260 ล้านบาท ตามด้วยเทศบาลนครปากเกร็ด จ.นนทบุรี 240 ล้านบาท และเทศบาลเมืองชลบุรี 200 ล้านบาท
จากนี้น่าจะมี อปท.ที่มีความพร้อมทยอยประกาศการจัดซื้อวัคซีนออกมาอีก
หลังได้ไฟเขียวจาก รัฐบาล “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ให้ อปท.จัดซื้อมาฉีดให้ประชาชนได้ เพียงแต่วัคซีนต้องผ่านมาตรฐาน อย.
การทุ่มงบจัดซื้อวัคซีนโควิด-19 ของ อปท. หากมองเรื่องการช่วยให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีน เป็นการป้องกันการระบาดไวรัสโควิด-19 ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร
แต่นอกเหนือจากความพร้อมเรื่องงบประมาณที่จะจัดซื้อแล้ว
อปท.แต่ละแห่งต้องประเมินความพร้อม บุคลากรทางการแพทย์ โรงพยาบาล สถานพยาบาลที่จะต้องมารับผิดชอบดูแล การฉีด การติดตามผลหลังจากฉีดไปแล้ว
โดยเฉพาะผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้นแก่คนที่ได้รับวัคซีนไปแล้ว
รวมทั้งจะต้องวางระบบการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ จากการฉีด
เพราะจากการประชุมนัดแรกของคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ในฐานะที่ปรึกษาสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ได้ออกมาย้ำว่าจะต้องมีการเยียวยา เช่น ที่สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีค่าทดแทนผู้ได้รับผลกระทบจากวัคซีน
อีกสิ่งที่จะต้องเคลียร์ให้ชัดจะไม่มีปัญหาภายหลัง คือ ประเด็นเรื่องของระเบียบ กฎหมาย ที่จะมารองรับ อปท.สามารถใช้งบประมาณจัดซื้อได้หรือไม่
เพราะต้องยอมรับว่าโควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ระเบียบที่มีอยู่ในปัจจุบันครอบคลุมไหม
ส่วนข้อครหาเรื่องการหวังผลทางการเมืองท้องถิ่น ที่จะมีการเลือกตั้งเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล ราวปลายเดือนมีนาคมนี้ คงหลีกเลี่ยงได้ยาก
แต่หากมีเจตนาดีที่จะช่วยประชาชนให้เข้าถึงวัคซีนโควิด น่าจะเป็นที่ยอมรับได้
การจัดซื้อวัคซีนค่อนข้างมีความคาบเกี่ยวกับการเลือกตั้งท้องถิ่น
แต่หากมีการนำเรื่องการจัดซื้อวัคซีนโควิดไปเป็นนโยบายหาเสียงได้ ตามที่ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการ กกต. ได้ออกมาชี้แจงเมื่อวันที่ 15 มกราคมว่า
หากเป็นนโยบายที่จะทำประโยชน์เพื่อท้องถิ่นก็สามารถจะทำได้ ไม่เข้าข่ายเป็นการสัญญาว่าจะให้ หรือจูงใจให้เลือก ไม่เหมือนกับประกาศว่าจะยกเงินเดือนทั้งเดือนให้
ท้ายที่สุดแล้ว หาก กกต.ยังยืนยันตามนี้ การจัดซื้อวัคซีนโควิดแจกประชาชน คงไม่พ้นข้อครหา ทำให้เกิดความได้เปรียบ
โดยเฉพาะผู้ที่ยังอยู่ในตำแหน่งปัจจุบันและเตรียมลงสมัครรับเลือกตั้งต่ออีกสมัย
ที่สำคัญจะทำให้เจตนาการซื้อวัคซีนของ อปท.อาจถูกมองว่า กลายเป็นเรื่องของการหวังผลการรักษาเก้าอี้
มากกว่าการช่วยให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนก็เป็นได้
จากนี้คงต้องติดตามว่ารัฐบาลจะมีแนวทาง หลักเกณฑ์อะไรออกมา
เพื่อให้การจัดซื้อวัคซีนของท้องถิ่นเป็นไปอย่างโปร่งใส เป็นที่ยอมรับ ไร้ข้อครหาต่างๆ