ผู้เขียน | สัญญา รัตนสร้อย |
---|
เดินหน้าชน : อย่าเสียโอกาส
ลำพังพิษสงจากการระบาดโควิด-19 รอบแรก โถมเข้าใส่ชีวิตความเป็นอยู่ประชาชนชาวไทย อาชีพการงาน รายได้ ภาคธุรกิจการค้า การลงทุน รายได้จากการท่องเที่ยว พยายามดิ้นรนเพิ่งกระเตื้องอย่างช้าๆ
มาโดนระบาดรอบใหม่กระแทกซ้ำ ดิ่งทรุดลงไปอีก
รัฐบาลต้องออกมาตรการเยียวยาจัดโครงการ “เราชนะ” โอนเงินเข้า “เป๋าตัง” รายละ 3,500 บาท เป็นเวลา 2 เดือน ให้กับประชาชนกลุ่มค่อนข้างอ่อนแอกว่า 31 ล้านคน ใช้งบประมาณกว่า 2 แสนล้านบาท
ดีเดย์เริ่มต้นโอนเงินให้ผู้ได้รับสิทธิวันที่ 18 กุมภาพันธ์นี้
ขณะที่ภาคการค้าการขายรายย่อยได้รับการกระตุ้นจับจ่ายจากโครงการ “คนละครึ่ง” ที่ได้รับความนิยมอย่างสูง
แต่แน่นอนผลกระทบจากโควิด-19 ทั้งสองรอบ กับมาตรการของรัฐที่ออกมาแล้ว คงไม่เพียงพอปะทะปะทังความเสียหายที่เกิดขึ้น
ทำให้เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว นายกฯประยุทธ์ต้องเรียกมือเศรษฐกิจรัฐบาล สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกฯ และ รมว.พลังงาน อาคม เติมพิทยาไพสิฐ รมว.คลัง ดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒน์ เพิ่มเติมแนวทางลดภาระรายจ่ายให้กับประชาชน ผู้ประกอบการ เช่น ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย การขยายเวลายื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีเงินได้
วันนี้ทุกคนน่าจะได้รู้กันแล้ว มีมาตรการอะไรออกมาบ้าง
นอกจากนี้ มีข้อมูลกระเส็นกระสายจะมี “ก๊อก 2” ออกมาอีกในเดือนเมษายน พุ่งเป้าไปยังกลุ่มมนุษย์เงินเดือน พนักงานบริษัท ผู้อยู่ในระบบประกันสังคม ที่บางส่วนถูกลดเงินเดือน ลดค่าจ้าง ไปจนถึงถูกเลิกจ้าง
ความจำเป็นในการมีมาตรการเฉพาะหน้าเป็นเรื่องจำเป็นหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อให้ผู้เดือดร้อนมีเงินจับจ่ายสิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวัน ลดภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ขณะเดียวกันอย่างน้อยก็ช่วยให้ธุรกิจรายเล็กรายน้อยประคองตัวไปได้ก่อน
แต่สิ่งสำคัญไม่แพ้กันก็คือ การเตรียมความพร้อมสำหรับอนาคต เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดคลี่คลาย ทั่วโลกเริ่มค่อยๆ กลับเข้าสู่ภาวะปกติ
การปรับโครงสร้างรองรับ “นิว นอร์มอล” จึงจำเป็นต้องทำไปควบคู่กัน ใครเริ่มก่อน พร้อมก่อน ได้เปรียบ
มีข้อเสนอเพื่อพลิกวิกฤตครั้งนี้เป็นโอกาส เสริมสร้างศักยภาพเศรษฐกิจไทยในอนาคต
การลงทุนเพื่อแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจ เน้นด้านเทคโนโลยี การลงทุนในทุนมนุษย์ เพิ่มคุณภาพของการศึกษา การจะฟื้นฟูเศรษฐกิจและเติบโตอย่างยั่งยืน ต้องแก้ไขปัญหาโครงสร้างเดิมที่มีอยู่ โดยเร่งการลงทุนของภาครัฐในโครงการที่มีเป้าหมายช่วยลดช่องว่างทางสังคม อาทิ โครงข่ายโทรคมนาคม ฐานข้อมูลภาครัฐ และระบบการศึกษาทางไกลที่ทั่วถึงและเป็นธรรม
การลงทุนในสาขาที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต
อาหาร ไทยมีต้นทุนเป็นบวกอยู่แล้ว ในฐานะประเทศผู้ผลิตอาหารป้อนสู่โลก
การแพทย์ สาธารณสุข การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โควิด-19 ทำให้ทั่วโลกใส่ใจกับคุณภาพของบริการสาธารณสุขและการแพทย์มากขึ้น ขณะที่ไทยมีจุดแข็งด้านการให้บริการด้านการแพทย์อยู่แล้ว จึงควรใช้จังหวะนี้เร่งลงทุนการแพทย์แบบครบวงจร ทั้งการผลิตบุคลากร การพัฒนาเครื่องมือให้ทันสมัย นอกจากนี้ ไทยยังมีโอกาสสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ โดยปี 2563 ไทยอยู่ลำดับที่ 17 ของการจัดอันดับประเทศที่น่าใช้ชีวิตหลังเกษียณ
ผู้บริหารมืออาชีพมักมองเห็นโอกาสในวิกฤต
วันนี้เราได้เริ่มแล้วหรือยัง
สัญญา รัตนสร้อย