ภาพเก่าเล่าตำนาน : รำลึกถึง…ศิษย์เก่า…เขาอีด่าง โดย พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

บทความตอนที่แล้ว… เปิดเผยค่ายลับทหารเขมรแดงในป่าลึก…ณ ถ้ำน้ำ เขาตาง็อก อ.คลองหาด จ.สระแก้ว…

ชายแดนไทย-กัมพูชา ยาวกว่า 800 กิโลเมตร (หลังจากข้าหลวงฝรั่งเศสมาปักปันเขตแดน ในปี พ.ศ.2450) มีเหตุการณ์ มีประชาชนที่ไปมาหาสู่ ไม่รู้ใครเป็นใคร พัวพัน เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย ผ่านมาหลายร้อยปี

ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา…เหตุการณ์ที่ควรนำมาบอกกล่าว-เล่าความ คือ สงครามในกัมพูชา …ประชาชนนับล้านเสียชีวิตจากความทุกข์ยาก เจ็บป่วย ทารุณกรรม ถูกพิฆาตเข่นฆ่าจากคนในชาติที่แบ่งออกเป็นฝัก-เป็นฝ่าย

ชาวกัมพูชาหลายแสนคน ทะลักเข้าไทย…

Advertisement

ภาพเก่า…เล่าตำนาน ตอนนี้ขอเปิดเผย “ศูนย์รองรับเขาอีด่าง” (Khao-I-Dang Holding Center) อ.ตาพระยา จ.ปราจีนบุรี (ในเวลานั้นยังไม่ได้จัดตั้ง จ.สระแก้ว)

สถานที่ตรงนี้…เคยเป็นสถานที่รักษาชีวิต ช่วยชีวิต ให้ชีวิตใหม่แก่ชาวกัมพูชานับแสนคน …ไม่น่าเชื่อว่า “คนไทยใจดี” ขนาดนี้…

17 เมษายน 2518 พอล พต ผู้นำเขมรแดงจอมโหดนำกำลังทหารโค่นรัฐบาล ของ นายพล ลอน นอล (สหรัฐสนับสนุน)

Advertisement

ประชาชนกัมพูชาหนีความอดอยาก หนีการฆ่า ทยอยอพยพเข้าไทย

25 ธันวาคม 2521 กองทัพเวียดนามราว 1.5 แสนคน บุกเข้าดินแดนกัมพูชา ทหารเวียดนามที่ไม่เคยแพ้ใคร มีภารกิจขจัด โค่นล้ม ระบอบคอมมิวนิสต์ของ นายพอล พต 8 มกราคม 2522 …(เพียง 2 สัปดาห์) รถถังทหารเวียดนามตะลุยทะลุ บดขยี้เขมรแดง เข้ามาปักธงแห่งชัยชนะในพนมเปญ

ชาวเขมรนับล้านที่ตกทุกข์ได้ยากจากจอมโหด พอล พต โดนกองทัพเวียดนามเข้ามากระหน่ำ ซ้ำอีก 1 ดอก เคราะห์กรรม ระทมแสนสาหัส

พี่น้องชาวเขมร …มีทางเลือกเดียว คือ เดินป่า หลบหลีกการตรวจจับของทุกฝ่าย มุ่งหน้ามาทางตะวันตก…ต้องเข้ามาในไทยให้ได้…

ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา เริ่มมีพื้นที่รองรับ ดูแลชาวเขมร

19 ตุลาคม พ.ศ.2522 นายกรัฐมนตรีไทย พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ ได้ออกนโยบาย “เปิดประตู” แสดงออกถึงมนุษยธรรม อนุญาตให้ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาข้ามพรมแดนได้อย่างปลอดภัยและอาศัยอยู่ในสถานที่เฉพาะ

การเลือก “พื้นที่รองรับ” ผู้หนีภัยสงคราม ต้องถอยห่างออกมาจากพื้นที่การรบ …แต่ก็ต้องไม่ลึกเข้ามาในดินแดนไทยมากเกินไป

พื้นที่แห่งหนึ่ง… ที่ถูกเลือกอย่างเร่งด่วน บริเวณตีนเขาอีด่าง อ.ตาพระยา ครอบคลุมพื้นที่ 2.3 ตารางกิโลเมตร พื้นที่มีความลาดเอียง มีการระบายน้ำที่ดีเมื่อฝนตก สามารถรองรับคนเป็นแสน ด้านหน้าจะเป็นถนน ด้านหลังจะเป็นเขาสูง ถือว่าเป็น “รั้ว” ก็พออนุโลมเป็นที่ตั้งค่าย…

สถานการณ์เวลานั้น พี่น้องเขมร ชาย หญิง เด็ก ผู้น่าสงสาร ทะลักเข้ามาในไทยตั้งแต่ชายแดนด้านอีสาน เรื่อยลงไปถึงจังหวัดตราด…

สหประชาชาติ (UN) และองค์การระหว่างประเทศ ทั้งขอร้อง เร่งรัดให้ไทย ให้เปิดพื้นที่รองรับเป็นทางการเพื่อช่วยชีวิตชาวกัมพูชา

รัฐบาลอนุมัติจัดตั้งพื้นที่ “เขาอีด่าง” … เปิดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2522

เท่าที่ผู้เขียนมีข้อมูล…สหประชาชาติ และองค์กรระหว่างประเทศ ให้เงินมาก้อนใหญ่… ถ้ามีเงิน ก็พูดกันรู้เรื่อง…ก็ต้องช่วยกันบ้าง

เครื่องจักร เครื่องกล คนงาน ทยอยปรับพื้นที่ ออกแบบวางผังค่ายโดยชาวต่างชาติ อาคารที่เกิดขึ้นก่อน คือ โรงพยาบาล

ชาวต่างชาติที่มาจากหลายประเทศทั่วโลกในภารกิจบรรเทาทุกข์ เรียกชื่อไม่สะดวกปาก… “เขาอีด่าง” จำยาก…ออกเสียงยาก

ตัวอักษรภาษาอังกฤษ คือ Khao-I-Dang ฝรั่งเลยขอเรียกเป็นตัวย่อ “KID” …ง่ายมาก เรียกเป็นทางการ คือ เขาอีด่างโฮลดิ้งเซ็นเตอร์ (Khao-I-Dang Holding Center : KIDHC)

ถ้าว่ากันตามตัวหนังสือ ก็บอกง่ายๆ ว่า …เพื่อใช้เป็นศูนย์รองรับชั่วคราวสำหรับผู้ลี้ภัยเพื่อรอส่งตัวกลับประเทศกัมพูชาเมื่อสงครามยุติ

แต่ในความเป็นจริง…หาเป็นเช่นนั้นไม่ เพราะเรื่องมันยืดยาวและใหญ่กว่านั้น…

เริ่มก่อสร้าง…วันแรก ผู้หญิง เด็กเขมร ถูกลำเลียงเข้ามาราว 4,800 คน และทยอยเข้ามาไม่หยุด นอนกลางดิน กินกลางทราย แต่ปลอดภัยแน่นอนในดินแดนไทย

เมื่องบประมาณเป็นขององค์กรระหว่างประเทศมากกว่า 30 หน่วย ผู้ปฏิบัติงานเป็นชาวต่างชาติที่ลงพื้นที่จริง เห็นสภาพความน่าสมเพช จึงมีการติดต่อตรงกับคนไทย จ้างรถบรรทุก ยานพาหนะเช่าจากคนไทย การตัดสินใจ การสั่งการ จึงอยู่ในมือผู้ปฏิบัติงานจากต่างประเทศ

ในหลายเหตุการณ์… เป็นการทำงานแบบไม่รู้ใครสั่ง คนกลุ่มนี้เข้ามาในค่ายได้ยังไง แต่ทั้งหมดอยู่บนพื้นฐานของ “มนุษยธรรม”

เงินหลายร้อยล้านสะพัดในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง …ไม้ไผ่ แฝกมุงหลังคา ลวด ตะปู ผ้าพลาสติก เครื่องสุขภัณฑ์ สายไฟฟ้า ขันน้ำ แท็งก์น้ำ ท่อประปา…ฯลฯ ถูกนำมาใช้งาน

อาหารสด แห้ง ก็เริ่มมีการผูกขาด ตัดตอน ฝรั่งใช้เงินทำงาน ทุกอย่างไหลลื่น ธุรกิจที่ดุดัน อู้ฟู่ที่สุด คือ รถบรรทุกน้ำจืด ที่ต้องนำน้ำจืดมาจาก อ.อรัญประเทศ มาใช้ในค่ายเขาอีด่างเพื่อดูแลคนเป็นแสน…

รถบรรทุกน้ำวิ่งทั้งวันทั้งคืน…ส่งเข้าค่ายเขาอีด่าง

ผู้เขียนเป็นนายทหารที่ทำงานห่างออกไปราว 30 กิโลเมตร เคยมีโอกาสเข้าไปประสานงานในโรงพยาบาลในค่าย มีแต่หมอ พยาบาล ชาวต่างชาติ ยอมรับว่า… ในค่ายมีมาตรฐานการทำงานแบบมืออาชีพ

เครื่องมือทางการแพทย์ทันสมัย ทำงานได้เท่ากับโรงพยาบาลใหญ่

ระบบการระบายน้ำ สาธารณูปโภค ในค่ายเขาอีด่าง… ไม่เลวทีเดียว

ที่ต้องขอระลึกถึง คือ การรักษาพยาบาลในค่าย ที่เอื้อเฟื้อต่อทหารไทยที่บาดเจ็บจากการรบตามแนวชายแดน การผ่าตัด รักษาโรค มีมาตรฐานสูง รวมทั้งให้การดูแลประชาชนคนไทยในพื้นที่

จากพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม…พื้นที่ตีนเขาอีด่าง กลายเป็นค่ายขนาดมหึมา มีน้ำ มีไฟฟ้า กลางคืนมีแสงสว่าง มีรั้วรอบขอบชิด แต่ก็มีการลักลอบหนีออกไปนอกค่าย โดยการสนับสนุนของญาติ เพื่อนฝูงกัมพูชาที่เข้ามามีถิ่นฐานในไทยก่อนหน้านี้แล้ว

เป็นความรอบคอบ …รัฐบาลในเวลานั้นที่ใช้คำว่า “พื้นที่รองรับ” (Holding Center) เพื่อมิให้เกิดการขยายเขตอำนาจของหน่วยงานต่างประเทศและตัวบุคคล

รัฐบาลไม่ให้สถานะผู้ลี้ภัย (Refugee) เพื่อป้องกันการเรียกร้อง ความผูกพันจนกลายเป็นเรื่องทำนอง “หาเหาใส่หัว”

31 ธันวาคม 2522 ถูกส่งตัวเข้ามาในค่าย 84,800 คน

ระหว่างเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.2522 ถึงปลายเดือนมกราคม พ.ศ.2523 มีผู้ลี้ภัยเข้ามาในค่ายโดยเฉลี่ยวันละ 1,600 คน

มีนาคม พ.ศ.2523 นำตัวชาวเขมรเข้ามาในค่ายรวม 160,000 คน

สงคราม ไล่ล่าฆ่ากันเองในเขมรยังดำเนินต่อไป ทหารไทยวางกำลังตลอดแนวชายแดนนับหมื่นนาย

ทุกฝ่ายเริ่มเป็นกังวล…ไม่คิดว่าจะบานปลายขนาดนี้…

24 มกราคม พ.ศ.2523 มีการประชุมปรับเปลี่ยนนโยบาย ประกาศปิดรับผู้อพยพ แต่ในทางปฏิบัติก็ยังมีความอ่อนตัว…เมตตาสงสาร

ชาวเขมรที่รอดตาย เข้ามาในค่ายได้แล้ว คนส่วนหนึ่งมีญาติพี่น้องในยุโรป อเมริกา และประเทศอื่นๆ …คนพวกนี้โชคดีที่สุด

คนกลุ่มนี้… ยื่นเรื่องขอเดินทางต่อไปประเทศที่ 3 …ทุกประเทศอนุญาตให้เดินทาง อำนายความสะดวกให้ ไปอเมริกา ฝรั่งเศส…ฯลฯ

คนสำคัญที่เดินเท้า บุกป่าฝ่าดง รอดตายมาถึงเขาอีด่าง คือ นายแพทย์ เฮง งอร์ (Dr. Haing S. Ngor) จากภาพยนตร์เรื่อง The Killing Fields ทำงานในโรงพยาบาล ICRC ขนาด 400 เตียงในค่ายเขาอีด่าง ในปี 2522 รอดตายจากเขาอีด่าง ไปอยู่อเมริกา…แสดงหนัง

ภาพยนตร์ Killing Fields หรือทุ่งสังหาร ที่ดังไปทั้งโลก ออกฉายในปี พ.ศ.2527 เล่าเรื่องกัมพูชาในยุคเขมรแดง โดยอาศัยเค้าโครงเรื่องจากประสบการณ์จริงของนักข่าว 3 คน ได้แก่ ซิดนีย์ ชานเบิร์ก นักข่าวชาวอเมริกัน ดิธ ปราน ล่าม/นักข่าวชาวเขมร และจอห์น สเวน นักข่าวชาวอังกฤษ ภาพยนตร์เรื่องนี้ซึ่งได้รับรางวัลออสการ์ครั้งที่ 57

ชื่อ KID หรือเขาอีด่าง ปรากฏในภาพยนตร์ ที่วันนี้ก็เรียกดูได้ทางอินเตอร์เน็ตนะครับ… ลองเข้าไปดู

มีการลักลอบหนีออก-เข้ามา ค่าย ตลอดเวลา

ตลาด ร้านค้า ผู้คนในอำเภอตาพระยา คึกคัก ชาวต่างชาติที่เข้ามาปฏิบัติงาน ทำงานทางการแพทย์ ผู้ประสานงาน ล้วนมาขอเช่าบ้าน (คนไทยให้เช่า) บ้างก็อยู่โรงแรมกันเป็นปี

ร้านอาหาร บาร์เบียร์ ถนนใน อ.อรัญประเทศ ที่ห่างออกมาจากเขาอีด่าง ราว 30 กิโลเมตร เต็มไปด้วยชาวต่างชาติ นั่งกิน ดื่ม

รถขับเคลื่อน 4 ล้อ (4WD) เป็นพาหนะของเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์วิ่งกันขวักไขว่หลายร้อยคันทั้งวันทั้งคืน ปะปนไปกับรถทหาร

มีผู้สื่อข่าวต่างประเทศเข้ามาปักหลักเก็บภาพหฤโหด ความตาย คนตาย ถ่ายทำภาพยนตร์ ทำข่าวเสนอไปทั่วโลก

อาหารกระป๋องที่โดดเด่นที่สุด คือ ปลาทูน่ากระป๋องจากรัฐบาลญี่ปุ่น ทำนำมาแจกจ่ายผู้อพยพที่หิวโหย รวมทั้งทหารที่ทำงานในสนาม

KID กลายเป็นแหล่งรวมมนุษย์ขนาด 1.4 แสนคนเศษ เจ้าภาพหลักในการบริหารจัดการ คือ UNHCR (สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ)

ที่พักชาวกัมพูชา… สร้างด้วยไม้ไผ่ขนาดใหญ่ นอนรวม หลังคามุงจาก เป็นแถว เป็นแนว สุดสายตา ทำเอาไม้ไผ่ในจังหวัดใกล้เคียง แฝก จาก ถูกนำมาเป็นหลังคา กลายเป็นของหายาก

ตัวเลขที่ถูกบันทึกไว้เป็นประวัติศสาสตร์ คือ มีพี่น้องชาวกัมพูชาเข้ามา-หมุนออกไป ประมาณ 200,000 คน

บางคนก็สมัครใจ ขอกลับไปกัมพูชาเมื่อสงครามยุติลง

คนเยอะเป็นแสน การบริหารจัดการ อาหาร น้ำ เป็นเรื่องที่ชุลมุนไม่น้อย เจ้าหน้าที่จะทำทะเบียนครอบครัว นับจำนวนคน แล้วแบ่งอาหารตามจำนวนหัว เรื่องการมั่ว หมกเม็ด โกงยอดคน เกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน

พ.ศ.2522 เครื่องคอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง มีคนเข้ามาเพิ่ม มีคนออกไปประเทศที่ 3…มีเด็กเกิดใหม่บนแผ่นดินไทยไม่น้อย เรื่องสัญชาติตามกฎหมาย “สูติบัตร” เป็นเรื่องที่ต้องจัดการ กว่าจะได้ข้อยุติ ยืดเยื้อเรื้อรังนานหลายปี เป็นปัญหาสำหรับการเดินทางไปต่างประเทศ

KID เป็นค่ายเดียวที่รองรับชาวเขมรทุกฝ่ายที่สู้รบกัน (เป็นกลาง) ทหารเขมรที่สู้รบกัน บาดเจ็บ ขาขาด แขนขาด โดนระเบิด ทุกฝ่ายจะมาใช้บริการของโรงพยาบาลเขาอีด่าง

ข้อมูลที่ชาวต่างชาติบันทึกไว้…ณ เดือนมิถุนายน พ.ศ.2527 ทีมแพทย์ที่ทำงานในโรงพยาบาลเด็ก ICRC ประกอบด้วย ศัลยแพทย์ 4 คนวิสัญญีแพทย์ 4 คน และนางพยาบาล 13 คน ที่ส่งมาจาก 9 ประเทศ โดยสภากาชาดสากล (เบลเยียม ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส ไอซ์แลนด์ ญี่ปุ่น นอร์เวย์ สวีเดน สวิตเซอร์แลนด์และอังกฤษ)

ผู้ประสานงานทางการแพทย์และผู้ดูแลโรงพยาบาลมาจากประเทศนิวซีแลนด์และแคนาดา เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์ทั้งไทยและเขมร 120 คนถูกส่งมาช่วยเหลือการทำงาน

เขาอีด่าง…เป็นค่ายผู้อพยพชาวกัมพูชาที่มั่นคงที่สุด…เปิดเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ.2522 และปิดในปี 2535

ข้อมูลที่ฝรั่งบันทึกไว้แบบนึกไม่ถึง… ถึงแม้จะเป็นโรงเรือนนอนรวมกันเป็นกลุ่มก้อน …ในเดือนธันวาคม พ.ศ.2524 มีเด็กเกิดใหม่ในค่ายนี้ 2,323 คน (เด็กที่เกิดในปีโน้น ปัจจุบัน พ.ศ.2564 ก็จะอายุ 40 ปี) ป่านนี้กระจายกันอยู่ทั่วโลก รวมทั้งกลับไปกัมพูชา

พวกที่มาทางบก คือ คนที่ถูกปล้น ถูกข่มขืน รอนแรมมาในป่า (เดินถนนไม่ได้-หลบการจับกุม สังหาร) ป่วยไข้มาทั้งสิ้น มาลาเรีย อุจจาระร่วงอย่างแรง ขาดอาหาร ซึ่งผู้เขียนก็เคยเผชิญกับคลื่นมนุษย์เหล่านี้ ทหารไทยที่อยู่ตามแนวชายแดนมีมนุษยธรรม ดูแล ให้ข้าว ให้น้ำ รักษาพยาบาล

กลุ่มที่หนีตายเข้ามาทาง จ.ปราจีนบุรี จะส่งต่อมายังค่ายเขาอีด่าง

ที่อนาถใจที่สุดที่ยังโลกอินเตอร์เน็ต คือ ภาพเด็กทารกที่ผอมโกรกในอ้อมกอดของแม่ที่หมดสภาพความเป็นมนุษย์…มันคือ โศกนาฏกรรมของมนุษยชาติที่ “พี่น้อง-คนในชาติเดียวกัน” กระทำต่อกัน …เกิดขึ้นใกล้กับประเทศไทย

6 สิงหาคม พ.ศ.2523 นายเคิร์ต วัลด์ไฮม์ (Kurt Waldheim) เลขาธิการสหประชาชาติ เคยไปเยี่ยมโรงพยาบาลเขาอีด่าง

27 มกราคม พ.ศ.2528 ฮาเวียร์ เปเรซ เดอเควลยา (Javier Perez de Cuellar) เลขาธิการสหประชาชาติ ก็ไปเยี่ยม

6 มิถุนายน พ.ศ.2528 ประธานาธิบดี จิมมี คาร์เตอร์
และสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่ง โรซาลินน์ คาร์เตอร์ มาเยี่ยม

ขอบอกเล่าคนไทยให้ทราบ… ค่ายเขาอีด่างช่วยชีวิตคนเป็นแสน ที่คิดว่ามหึมาที่สุดแล้ว…ไม่จริงครับ…

ระหว่างปี 2527-2528 เวียดนามรุกใหญ่ต่อกัมพูชาแบบ “ขอเช็กบิล” …เกิดสึนามิคลื่นมนุษย์ชาวกัมพูชานับแสนเข้ามาอีกระลอก

สหประชาชาติขอให้ไทยตั้งค่ายยักษ์ขึ้นอีก… เรียกว่า ค่าย 2 หรือ Site 2 อยู่บ้านทัพไทย ต.ทัพเสด็จ อ.ตาพระยา คราวนี้เข้ามามากกว่าเขาอีด่างซะอีก…รอบนี้ จัดเต็ม…มีชาวกัมพูชาหนีตายเข้ามาราว 2 แสนคน

สุภาษิตไทย…ใครมาถึงเรือนชาน…ต้องต้อนรับ…

ค่าย 2 หรือไซต์ทู ถูกปิดในกลางปี 2536 และประชากรส่วนใหญ่เดินทางกลับกัมพูชาโดยสมัครใจ

ค่ายเขมรอพยพไซต์ 2..ปัจจุบันเป็นเป็นพื้นที่โครงการทับทิมสยาม

เมื่อสงครามสิ้นสุด มีการจัดตั้งเขมร 4 ฝ่าย …รัฐบาลของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ ได้ปรับเปลี่ยนนโยบาย “แปรสนามรบเป็นสนามการค้า”

การหนีภัยสงครามของชาวกัมพูชาตั้งแต่ปี 2518-2528 มีค่ายผู้อพยพหลัก และค่ายย่อยไม่น้อยกว่า 60 แห่งตลอดแนวชายแดน

อ้อ…ยังมีค่ายผู้หนีภัยจากการสู้รบทางฟากฝั่งตะวันตก ตลอดชายแดนไทย-เมียนมา อีกนะครับ…จะหาโอกาสนำมาบอกกล่าวครับ

ดินแดนไทยแลนด์…มีศิษย์เก่า มีแขกเหรื่อมาเยือน แล้วจากไปตลอดเวลา บางคนก็กล้าบอกความจริงว่า รอดตายเพราะเขาอีด่าง บางคนก็ขอปกปิดเพราะอาย

แต่คนไทยต้องทราบครับ…

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image