สถานีคิดเลขที่12 : เมตตา-มาตรฐาน โดย สุวพงศ์ จั่นฝังเพ็ชร

เว็บไซต์ หน่วยราชการในพระองค์ https://www.royaloffice.th/ เผยแพร่ข่าว ข้อความตอนหนึ่ง ว่า

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2564

“…พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณทรงรับเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ชุมนุม ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ในคืนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์”

ถือเป็นข่าว ในเชิง “บวก”

Advertisement

ทั้งสำหรับ เจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ชุมนุม

ด้วยหลังจากเหตุการณ์ 28 กุมภาพันธ์ ทั้งสองฝ่ายอันหมายรวมถึงฝ่ายกองหนุน ต่างสาดข่าวเชิงลบเข้าใส่กัน

ว่าแต่ละฝ่ายกระทำเกินกว่าเหตุ จนเป็นสาเหตุที่นำไปสู่ความรุนแรง จนมีผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิต

Advertisement

ทำให้ ความรู้สึกที่มีต่อกันมากด้วยความตึงเครียด

อันห่วงกังวล ว่าจะนำไปสู่เหตุรุนแรง เพิ่มขึ้นไปอีก

ด้วย “เมล็ดพันธุ์” แห่งความเกลียดชัง ถูกเติมน้ำ ใส่ปุ๋ย ให้งอกงามและเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง

จน ทางเลือกอื่นแทบจะไม่เหลือ

นอกจากเจอหน้ากันก็จบลงที่ ความรุนแรงทุกทีไป

ดังนั้น เมื่อ มี “แนวทาง” สำหรับ “ทั้งสองฝ่าย”

ดังตัวอย่างข่าวข้างต้น คือ “พระราชทานพระมหากรุณาธิคุณทรงรับเจ้าหน้าที่ตำรวจและผู้ชุมนุม ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ในคืนวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2564 ไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์”

ก็อาจเป็น ทิศทางให้สามารถนำไปปฏิบัติได้

โดยเฉพาะ รัฐบาล ที่มักประกาศตนว่าไม่ใช่ คู่ขัดแย้งของใคร

ควรจะมีบทบาทสำคัญในการทำให้สิ่งที่ประกาศให้เป็นจริง

สถานการณ์ตอนนี้ แต่ละฝ่ายต่างตกเป็น คู่กรณี ของกันและกัน ในแทบทุกองคาพยพ ถึงขนาดทะลุเพดานก็ปรากฏให้แลเห็นกันอยู่

ถ้ามองเห็น ฝ่ายอื่น ทั้งที่ก็เป็นคนไทยด้วยกัน เป็นศัตรู

มันก็ต้องมีแต่เจ็บและตาย อย่างที่เกิดในปัจจุบัน และอาจพัฒนาไปสู่ความเลวร้ายหนักขึ้นในอนาคตอันใกล้

เรา ควรมี เมตตา ต่อกันมากขึ้น

ควรปฏิบัติต่อกันโดยมี มาตรฐาน ไม่ว่าทั้ง “มาตรฐานสากล” “มาตรฐานเดียวกัน” มากขึ้น

ซึ่งก็อาจ ลดสภาพความเป็นศัตรู หรือ คู่ขัดแย้ง ลงได้บ้าง

คำว่า “การเมืองนำการทหาร” ยังสามารถนำมาปรับใช้ เพื่อลดความรุนแรงและความสูญเสียได้อย่างไม่ล้าสมัย

ข้อเสนอของ ประชาชน เยาวชน คนรุ่นใหม่ อาจจะล้ำหน้าเกินไป

แต่ก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลในฐานะผู้กุมการบริหารประเทศเอาไว้ทั้งหมด ต้องเจรจา ต่อรอง พูดคุย เพื่อหา
ทางออกที่พอยอมรับกันได้ทุกฝ่าย

มิใช่ จะขึงตึงอยู่เพียงใครเห็นต่างต้องเป็นศัตรู แล้วใช้ “อำนาจ” “กฎหมาย” “กลไกรัฐ” ที่มีอยู่ในมือ บดขยี้ ฝ่ายตรงข้าม จนแทบไม่มีที่ยืน

บีบคั้นให้ต้องทำอะไรตอบโต้

ทำ ทั้งที่รู้ว่าผิด

ทำ ทั้งที่รู้ว่าเป็นสิ่งโง่ๆ

แต่เมื่อ คนเมื่อรู้สึกว่าไม่มีทางเลือก ก็ต้องหันไปสู้ในทุกวิถีทางและทุกวิธีการ

สิ่งที่ไม่ควรเกิดก็เกิด

กลายเป็นเงื่อนไขที่พร้อมจะปะทุเป็นความหายนะตลอดเวลา

ข้อเขียนนี้ เขียนสายๆ ก่อนการชุมนุม วันที่ 6 มีนาคม จะมีขึ้นในช่วงเย็น

ซึ่งก็มากด้วยความหวังว่าจะไม่มีเหตุรุนแรง

แต่ กระนั้นก็อดเป็นห่วงไม่ได้

เพราะมีการโหมข่าว ว่าจะเกิดความรุนแรงขึ้นแน่นอน มีการจับระเบิดได้กลางเมือง (ด้วยพฤติกรรมที่แปลกๆ)

เหมือนเป็นการปูทางว่าฝ่ายชุมนุม จะนำมาซึ่งความรุนแรงแน่

ขณะที่ฝ่ายควบคุมก็ดูจะได้ความเป็นธรรมในการ “ปราบ” หรือ “สลาย”

ซึ่งไม่ใช่แนวโน้มที่ดีเลย

ลองกลับไปยึดหลักง่ายๆ

คือมีเมตตา มากขึ้น

ปฏิบัติต่อกันด้วย มาตรฐานเดียว มากขึ้น

ก็อาจพอจะบรรเทาวิกฤตลงได้หลายระดับกระมัง

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image