บทนำ : เจ้าภาพแก้ รธน.
หลังจากที่รัฐสภามีมติคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาให้เลือกตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แล้วทุกอย่างเริ่มกลับไปสู่ความไม่แน่นอน แม้ว่าพรรคการเมืองแต่ละพรรคจะพยายามนำเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา แม้ว่าพรรคพลังประชารัฐเสนอตัวว่าจะพูดคุยเจรจากับพรรคฝ่ายค้านเพื่อนำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา แต่ดูเหมือนว่าบรรยากาศในขณะนี้คือ ความไม่ไว้วางใจกันและกัน พรรคฝ่ายค้านไม่ไว้วางใจพรรคฝ่ายรัฐบาล และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ไว้วางใจสมาชิกวุฒิสภา
ยิ่งเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์เชิงท้าทายเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อนที่จะหยุดการสืบทอดอำนาจ ยิ่งส่งสัญญาณว่า พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ต้องการให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะสะท้อนกลับไปที่รัฐบาล ซึ่งกำหนดให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นหนึ่งในนโยบายเร่งด่วนว่าไม่มีโอกาสประสบความสำเร็จ ทำให้ความหวังที่จะใช้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นกลไกในการลดความขัดแย้งกลับกลายเป็นว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญกำลังจะเป็นชนวนสู่ความขัดแย้ง
หากรัฐบาลยังยึดมั่นคำสัญญาเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และรัฐสภายังยืนยันที่จะใช้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นกลไกสู่การลดความขัดแย้ง รัฐบาลสมควรรับเป็นเจ้าภาพในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสียเอง เพราะนั่นคือการสร้างความเชื่อมั่น เนื่องจากขณะนี้ ลำพังรัฐสภาที่รวมถึงพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาล หรือวุฒิสภาต่างก็มิอาจสร้างความไว้วางใจได้ว่ามีความจริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แม้ว่าในฝั่งพรรคร่วมรัฐบาลจะมีพรรคพลังประชารัฐ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ เป็นหัวหน้าเป็นแกนนำ แต่ก็ไม่สามารถสร้างความไว้วางใจได้ เพราะการคว่ำร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมานั้นพรรคพลังประชารัฐ และสมาชิกวุฒิสภามีบทบาทสำคัญ
ณ เวลานี้ รัฐบาลจำเป็นต้องเสนอตัวเข้ามาเป็นเจ้าภาพการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และผลักดันให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญประสบความสำเร็จ โดยยืนยันว่าถ้าการแก้ไขรัฐธรรมนูญทำไม่สำเร็จ รัฐบาลพร้อมรับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นการแสดงความรับผิดชอบด้วยการลาออก หรือรับผิดชอบด้วยการยุบสภาเลือกตั้งใหม่ก็สุดแล้วแต่จึงจะทำให้ความเชื่อมั่นกลับฟื้นคืนมา มิเช่นนั้นโอกาสที่จะเห็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญลดความขัดแย้งคงถดถอยลงไปเรื่อยๆ จนอาจจะกลายเป็นชนวนแห่งความขัดแย้งต่อไปได้
