ภาพเก่าเล่าตำนาน : ชาวโรฮีนจา…ที่เมียนมาไม่อยากเห็น โดย พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

Rohingya refugees gather to mark the second anniversary of the exodus at the Kutupalong camp in Cox’s Bazar, Bangladesh, August 25, 2019. REUTERS/Rafiqur Rahman

นี่คือ …ชนกลุ่มน้อยนับล้านคน…ที่ถูกข่มเหงมากที่สุดในโลก

ชาวโรฮีนจา…อ้างว่าเผ่าพันธุ์ของตน…มีประวัติศาสตร์การดำรงอยู่ตรงนี้มานานนับพันปี… ทำไมรัฐบาลทหารเมียนมาต้องมาใช้กำลังขับไล่…

มนุษยชาติที่เกิดมาบนโลกใบนี้ …มีหลายกลุ่ม หลายเผ่าพันธุ์ที่อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ …ในทวีปแอฟริกา ชนเผ่าต่างๆ ทำสงครามกัน ปลิดชีพเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเหมือนฆ่ายุง ฆ่าแมลงวัน

ในยุโรป ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 …ฮิตเลอร์สั่งให้กำจัดชาวยิว ทำทุกวิถีทางที่จะให้มนุษย์เผ่าพันธุ์นี้ต้องหายไปจากโลก… จับเอาไปเข้าห้องอบแก๊ซพิษ ยิงทิ้ง …ล่าสังหารยิวในทุกแห่งหน

Advertisement

ชาวยิว ชาย หญิง เด็ก คนเฒ่าคนแก่ ตายไปราว 6 ล้านคน… เป็นการลงมือสังหารคนบริสุทธิ์…ชาวยิวไม่ได้ถืออาวุธ ไม่ได้อยู่ในสนามรบ

เป็นประวัติศาสตร์ที่เลวร้ายที่สุดของมนุษยชาติ ที่เรียกว่า การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ (Genocide)

นักวิชาการ นักการทหาร เขียนเอกสารตำรามากมาย เพื่อตอบคำถามชนรุ่นหลังว่า ทำไม ฮิตเลอร์ถึงเกลียดชังชาวยิวเข้ากระดูกดำ มันมีที่มาที่ไปครับ…(ผู้เขียนจะไม่ขอกล่าวถึง)

Advertisement

ไม่ใกล้… ไม่ไกล…ข้างบ้านเรานี่ก็เคยเกิดนะครับ…

ในปี พ.ศ.2537 เพียงช่วงเวลาแค่ 100 วัน กลุ่มหัวรุนแรงเผ่าฮูตูได้สังหารผู้คนไปราว 8 แสนคน มุ่งเป้าไปที่ชาวทุตซี ซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศรวันดา รวมถึงศัตรูทางการเมือง

ประเด็นที่ชวนรู้ในบทความนี้…โรฮีนจา ครับ

เพื่อนบ้านของเราประเทศ “เมียนมา” รัฐบาลและประชาชน ตั้งข้อรังเกียจ ปฏิเสธ ชาว “โรฮีนจา” ที่อยู่ทางฝั่งตะวันตกของประเทศ

ที่ผ่านมา…เมียนมาเคยใช้กำลังทหาร ใช้อาวุธเข้าปราบปราม สังหารเป็นหมู่ สังหารเดี่ยว ผลักดันให้ออกนอกดินแดน เผาหมู่บ้าน ไม่มีลดราวาศอกในหลายโอกาส เป็นข่าวระดับโลกมาหลายครั้ง …

โรฮีนจา หนีลงเรือ หันหัวเรือมาขึ้นบกที่ชายฝั่งอันดามัน เพื่อเข้าสู่ดินแดนไทย บางส่วนลักลอบเข้ามาตามช่องทางธรรมชาติทางบก

ชาวโรฮีนจานับล้านเป็น “มุสลิม” ที่แสนลำเค็ญ เหมือนถูกสาป

ชาวโรฮีนจาคือใคร ?

ชาวโรฮีนจา…เป็นชนกลุ่มน้อยมุสลิมที่นับถือศาสนาอิสลามนิกายสุฟี มีชาวโรฮีนจาประมาณ 3.5 ล้านคนกระจายตัวทั่วโลก

มุสลิมประมาณ 1 ล้านคนในเมียนมากลุ่มนี้…อาศัยอยู่ในรัฐยะไข่ ซึ่งคิดเป็นเกือบ 1 ใน 3 ของประชากร แนวทางการใช้ชีวิต และการนับถือศาสนา ไม่สามารถกลมกลืน ไม่เป็นมิตรกับชาวพุทธในท้องถิ่น

ประเด็น “ความขัดแย้ง” คือ “พวกแกเป็นใคร-มาจากไหน”

มี 2 ทฤษฎี …

1.ชาวโรฮีนจายืนยันว่า พวกเขามีถิ่นพำนักตรงนี้ (ในรัฐยะไข่) มานานนับพันปีแล้ว

2.รัฐบาลทหารเมียนมา ยืนยันว่า โรฮีนจานับล้าน พวกแก…คือคนที่อพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย …เพิ่งหนีเข้ามา…

นี่คือ ปัญหาโลกแตก… ที่ทำให้คนพวกนี้เหมือนอยู่ในนรก

ลูกหลานชาวโรฮีนจาที่โชคดี หนีตายออกไปได้ มีหน่วยงานต่างประเทศดูแล ไปเรียนหนังสือในยุโรป อเมริกา รวมตัวกันพยายามส่งเสียงบอกประชาคมโลกว่า …“โรฮีนจา” มีภาษาและวัฒนธรรมของตนเอง…พวกเขาเป็นลูกหลานของพ่อค้าชาวอาหรับและกลุ่มอื่นๆ ที่อยู่ในภูมิภาคนี้มาหลายชั่วอายุคนแล้ว…

มีการอ้างงานทางวิชาการของฝรั่งอังกฤษในอดีตนับร้อยปีระบุว่า คนพวกนี้คือ คนพื้นถิ่น อยู่ในยะไข่ ดินแดนชายฝั่งทะเลมาช้านาน

แกก็ว่าของแกไป…ชาวพม่า (บะม่าห์) ที่มีอำนาจปกครองแผ่นดินยืนกระต่ายขาเดียว…ไม่ยอมรับข้อมูลนี้

ที่สำคัญที่สุด….ตั้งแต่ประเทศพม่าได้รับเอกราชจากอังกฤษเมื่อ พ.ศ.2491 รัฐบาลทุกชุดของประเทศนี้ไม่ขอเชื่อเด็ดขาด…

เมียนมา….ดินแดนที่เป็นประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ ปฏิเสธมุสลิมนับล้านคน ยืนยันว่าพวกนี้คือ คนที่อพยพมาจากบังกลาเทศ

การสำรวจประชากรในปี พ.ศ.2557 ทางการเมียนมา ไม่นับคนพวกนี้เป็นพลเมืองของตน กีดกันมุสลิมกลุ่มนี้ออกจากการสำรวจ

ยืนยันว่า…พวกนี้เป็นผู้อพยพเข้าเมืองผิดกฎหมายจากบังกลาเทศ

ลองมาทำความเข้าใจแบบง่ายๆ ครับ…

รากเหง้าของปัญหา…อังกฤษไปทำอะไรไว้เมื่อศตวรรษก่อน ?

มีผู้กล่าวว่า…วิกฤตโรฮีนจาเป็นมรดกตกทอดของอาณานิคม

มีข้อมูลของโรฮีนจาระบุว่า…ราว พ.ศ.1973 ผู้ตั้งถิ่นฐานชาวมุสลิมจากดินแดนอาหรับกลุ่มหนึ่ง เดินทางด้วยเรือมาค้าขาย …ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณชายฝั่งทะเลที่ในเวลานั้นยังไม่มีประเทศ ยังไม่มีอาณาเขต

พ.ศ.2367 พม่าถูกอังกฤษยึดครอง อังกฤษได้ปกครองพม่าโดยเป็นส่วนหนึ่งของบริติชอินเดีย ในช่วงเวลานั้นชาวมุสลิมอื่นๆ จากเบงกอลได้เข้าสู่พม่าในฐานะแรงงานข้ามชาติ อังกฤษต้องการเพิ่มผลผลิตการเกษตร

ชาวอินเดีย มุสลิม และกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ สารพัด …อพยพเข้ามาหางานทำกับนายทุนของอังกฤษในพม่า

หลายทศวรรษผ่านไป…ประชากรมุสลิมในการปกครองของอังกฤษที่เข้ามาสร้างรายได้ให้อังกฤษ… เพิ่มยอดขึ้นเป็น 3 เท่า…

วันเวลาผ่านไป…ถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อังกฤษจะสัญญากับชาวโรฮีนจาว่า…จะให้เป็นรัฐอิสระ…หากโรฮีนจาเข้าร่วมกับกองทัพอังกฤษ

โรฮีนจา มีความหวังจะได้เป็นรัฐอิสระ …ดันไปเป็นลูกน้องอังกฤษ

อังกฤษ …ไม่เคยทำตามสัญญา…

ในช่วงเวลาที่ประเทศพม่ายากลำบาก โรฮีนจากลับไปกอดคอ เป็นพวกกับอังกฤษที่ปกครอง กดขี่ ชาวพม่า…ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง

ลักษณะเช่นนี้ ก็เป็นกรณีเดียวกับ “ชนเผ่ากะเหรี่ยง” ที่ภักดีกับอังกฤษ ในระหว่างสงคราม…

เมื่อสงครามจบ… พม่าเป็นเอกราชในปี พ.ศ.2491 มีอำนาจปกครองประเทศ จึงเกิดสภาวะ “เจ้ากรรม นายเวร” มาเช็กบิล

รัฐบาลพม่าทุกยุค…ไม่ให้มีรัฐมุสลิม และไม่ยอมรับชาวโรฮีนจา … พม่าขอเอาคืน…พยายามกำจัดชาวโรฮีนจา

รัฐธรรมนูญพม่า ในปี พ.ศ.2525 รัฐบาลทหารได้ผ่านกฎหมายที่ปฏิเสธการเป็นพลเมืองของชาวโรฮีนจา

แปลเป็นไทยว่า… “พวกแก…ไม่ใช่มนุษย์”

เมื่อกฎหมายกำหนดเช่นนั้น…ชาวโรฮีนจาจึงขาดสิทธิขั้นพื้นฐาน…ถือว่าเป็นคนไร้สัญชาติ (Stateless Persons)

ที่ผ่านมา…รัฐบาลของเมียนมาไม่ยอมรับคำว่า “โรฮีนจา” และขอเรียกชุมชนนี้ว่า “เบงกาลี”

ปี พ.ศ.2505 เมื่อพม่ากลายเป็นรัฐทหาร โดยนายพลเนวิน มุสลิมนับล้านเลยกลายเป็นเหยื่อของการกดขี่ข่มเหงที่ต้องถูกเช็กบิล…

ลูกหลาน ชนรุ่นหลังที่เกิดมา …ต้องกลายเป็นมนุษย์ที่แสนลำเค็ญ

ในทุกโอกาส…กำลังทหารพม่าจะพุ่งเป้าขับไล่ ทำลายล้างชีวิต ทำลายบ้านและหมู่บ้านและการจับกุม

มุสลิมกลุ่มนี้หลบหนีเข้าไปบังกลาเทศจำนวนมาก

ครั้งหนึ่ง…กองทัพพม่าเปิดการปฏิบัติการของทหาร ตั้งชื่อไว้สวยงาม นามเพราะว่า “Operation Clean and Beautiful Nation” …

แปลว่า “การปฏิบัติการทำความสะอาดและสร้างประเทศให้สวยงาม” ภารกิจครั้งนั้น สามารถผลักดันมุสลิมออกนอกประเทศไปได้ราว 2 แสนคน

ชาวโรฮีนจา ถือเป็นผู้อพยพเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายและไม่ได้รับการยอมรับภายใต้กฎหมาย

คนกลุ่มนี้…จะไม่สามารถเข้าถึงบริการทางสังคมหรือการศึกษาได้ และการเคลื่อนไหวของพวกเขานอกรัฐยะไข่ถูกควบคุมอย่างใกล้ชิด

ลักษณะนิสัย ความเป็นอยู่ของคนพวกนี้ คือ การไม่คุมกำเนิด

เมียนมาได้กำหนดข้อบังคับที่เข้มงวดเกี่ยวกับการคุมกำเนิดและการแต่งงาน โดยอนุญาตให้ครอบครัวในบางเมืองในรัฐยะไข่ มีลูกได้ 2 คน และจำกัดการแต่งงาน

พ.ศ.2560 เมื่อทางการเมียนมากดดันหนัก ก็จัดตั้งกองทัพต่อสู้ บางส่วนก็หนีลงเรือมาที่ประเทศไทย …มาแบบตั้งใจ ไม่มั่ว… รอนแรมมาในทะเลราว 5-7 วัน เสียเงินให้เจ้าของเรือ มาขึ้นฝั่งอย่างแม่นยำ มีโทรศัพท์ดาวเทียม มี GPS นำร่อง มีนายหน้ามารับตัวไปหลบซ่อน…

สิงหาคม 2561 ทหารพม่าจัดหนัก จัดเต็ม …ผู้ลี้ภัยชาวโรฮีนจากว่า 723,000 คนได้หลบหนีไปยังบังกลาเทศ หลายคนตั้งถิ่นฐานอยู่ในนิคมผู้ลี้ภัย คูตูปาลอง (Kutupalong)

พื้นที่ตรงนี้…ถือได้ว่าเป็นที่ตั้งค่ายผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก สภาพความเป็นอยู่แสนจะน่าสมเพช เวทนา…

การอพยพชาวโรฮีนจาจำนวนมากไปยังบังกลาเทศและประเทศเพื่อนบ้านอื่นๆ เกิดขึ้นอย่างน้อยสามครั้งในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา คือ พ.ศ.2520-2521, พ.ศ.2521-2535 และในปี พ.ศ.2555

ชีวิตของคนกลุ่มนี้ ไม่เคยสงบสุข เด็กไม่ได้เรียนหนังสือ

คนเป็นแสน…แห่ไปทางไหนก็น่าสมเพช…ส่วนที่ลงเรือมาประเทศไทย คือ จุดหมายปลายทางที่เคย “รับตัว” รวมทั้ง “ผลักดัน” ออกไปหลายพันคน

ช่วงที่ผู้เขียนดำรงตำแหน่ง เจ้ากรมกิจการชายแดนทหาร พ.ศ.2550 ได้รับมอบหมายให้ “ประสานงาน” การผลักดันออกไปทางทะเล จำได้ว่า กอ.รมน. ที่ทำงานในพื้นที่ ประสานงานกับหน่วยเฉพาะกิจทางเรือ นำอาหาร น้ำจืด ไปมอบให้ โดยไม่ยอมให้เรือเข้าถึงฝั่ง

บางส่วนก็ลักลอบขึ้นฝั่งได้…มี “กระบวนการค้ามนุษย์”เข้ามาอุ้มชูดูแล แล้วลักลอบนำตัวไปส่งต่อเป็นแรงงานในพื้นที่ห่างไกล บ้างก็พากันไปหลบซ่อนในป่าเขาในภาคใต้ มีข่าวการจับกุม คุมขัง ตลอดมาหลายปี

ช่วงที่ทางการไทย “ผลักดัน” ออกไปทางทะเล หรือใช้คำศัพท์ว่า “อำนวยความสะดวก” ส่วนใหญ่ เรือของโรฮีนจาไปขึ้นฝั่งในมาเลเซีย บางส่วนไปถึงจังหวัดอาเจะฮ์ ของอินโดนีเซีย

องค์กรระหว่างประเทศ เอะอะ ส่งเสียง ประท้วงทางการไทยแบบดุเดือด… ไม่ทราบว่าใครนำ อีเมล์ ของผู้เขียนไปเผยแพร่ …มีอีเมล์ภาษาอังกฤษเข้ามานับพันรายการ ประณามการทำงานที่ไร้มนุษยธรรม…

ระหว่างการทำงาน ได้รับความรู้ ความจริงจากฝ่ายตำรวจว่า…ไอ้ที่จะจับตัวโรฮีนจานับร้อยไปขังในคุกน่ะเรื่องเล็ก..

เรื่องใหญ่ คือ จะเอาอาหารที่ไหนให้พวกเค้ากินในคุก พูดภาษาอะไรก็ไม่มีใครเข้าใจ …ขังแล้วจะเอาตัวไปไหน ส่วนราชการไหน ใครจะดำเนินการต่อ…ไม่ง่ายนะครับ…บางคนโดนขังมานานหลายปี การเจรจาให้เมียนมารับตัวกลับไป…เป็นเรื่องเพ้อฝัน

การทำงานการข่าวที่ลึกลงไปกว่านั้น…โรฮีนจา ที่อยู่ในไทย ที่พอจะตั้งตัวได้ ก็จะรับตัว “ผู้มาใหม่” ไปดูแล ทำงานสารพัดเพื่อแลกกับที่พักอาหาร

ถ้าจะว่าไปแล้ว…ด้านหลักมนุษยธรรม ก็น่าสมเพชเวทนา

หากแต่ มองระยะยาว…ถ้าคนพวกนี้ไหลเข้ามาไม่หยุด เป็นล้าน…จะเกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย…

แนวคิดเรื่อง กลุ่มชาติพันธุ์ในเมียนมา เป็นเรื่อง “ดุเดือด”

พ.ศ.2558 ชาวพุทธที่เป็นกลุ่มใหญ่ที่สุด ออกมากดดันรัฐบาล ไม่ให้ชาวโรฮีนจามีสิทธิในการลงประชามติในร่างรัฐธรรมนูญปี 2558

ประธานาธิบดีเต็ง เส่ง ต้องสั่งได้ยกเลิกบัตรประจำตัวของโรฮีนจา ซึ่งเป็นการเพิกถอนสิทธิในการลงคะแนนเสียง

ในรัฐสภาของเมียนมา จึงไม่มีผู้แทนที่เป็นมุสลิมแม้แต่คนเดียว…

ชาวโรฮีนจา ทราบดีว่า …“อยู่ไม่ได้” คือ

รัฐบาลเมียนมาได้ จำกัด-ควบคุม ไม่ให้สุขสบาย…

ชีวิตแสนลำเค็ญ ถูกกลั่นแกล้งสารพัด โดยเฉพาะต้องขออนุญาตแต่งงาน ซึ่งต้องติดสินบนเจ้าหน้าที่ หากต้องการย้ายไปอยู่บ้านใหม่หรือเดินทางออกนอกเมืองต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐบาลก่อน

ไม่มีใครต้องการชาวโรฮีนจา

ในช่วงของการหนีตายจากการปราบปราม…ผู้อพยพลอยเรือฝ่าอันตราย อดอาหาร เรือล่มตายกันไปมหาศาล

อินโดนีเซีย คือ ประเทศที่ประชากรนับถืออิสลามเป็นส่วนใหญ่ มีความหวังที่จะขอไปตั้งต้นชีวิตใหม่ หากแต่…จำนวนคนนับแสนที่ต้องดูแล…เป็นเรื่องที่อินโดนีเซียเองก็ต้อง “จำกัด” การแบกรับภาระ

ที่ท่าเรือกัวลาลังซา ในเมืองลังซา จังหวัดอาเจะห์ อินโดนีเซีย ผู้อพยพดังกล่าวส่วนใหญ่ถูกขัดขวางไม่ให้เรือเข้าเทียบท่า

ที่ผ่านมา แม้กระทั่งมาเลเซียก็เคยโอบอุ้ม แบกรับ “คนเรือ” มุสลิมนับหมื่นคน แต่ต่อมาก็ขอปฏิเสธ ด้วยเกรงว่าจะเป็น “ปัจจัยดูด” (Pull Factor) ที่คนเหล่านี้นับแสนจะหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด

โรฮีนจา นับแสนจะอยู่ในดินแดนเมียนมาไม่ได้แน่นอน…

สิงหาคม 2560 กลุ่มติดอาวุธที่รู้จักกันในชื่อ Arakan Rohingya Salvation Army (ARSA) ฮึดสู้…อ้างความรับผิดชอบ ในการโจมตีสถานีตำรวจและกองทัพของรัฐบาล

รัฐบาลเลยประกาศให้ ARSA เป็นองค์กรก่อการร้ายและกองทัพพม่าได้ลงมือจัดการอย่างโหดเหี้ยม ทำลายหมู่บ้านหลายร้อยแห่ง บังคับให้มุสลิมเกือบ 7 แสนคนออกจากแผ่นดิน

25 สิงหาคม- 24 กันยายน 2560 ประชาชนอย่างน้อย 6,700 คนเสียชีวิต ปรากฏภาพที่สะเทือนใจผู้ที่พบเห็น โดยเฉพาะเด็กๆ ที่ยังไร้เดียงสา

ทหารบังกลาเทศก็นำกำลังมาสกัดกั้นที่บริเวณชายแดน เพื่อผลักดันคนนับแสนกลับไป …น่าอนาถที่สุด

เหตุการณ์สังหารหมู่ตรงนี้ นางซูจี ผู้นำของประเทศ ที่เคยได้รับรางวัลโนเบล ถูกตำหนิแบบยับเยิน และถูกริบคืนรางวัลโนเบล

(ผู้เขียนขอมองต่างมุมนะครับ…เธอทราบดีว่ากองทัพกำลังทำอะไร โดยเฉพาะการปราบปรามชนกลุ่มนี้อย่างโหดเหี้ยม แต่ทั้งหมดนี้ คือ “ผลประโยชน์ของชาติในระยะยาว” ที่จะขจัดความขัดแย้งเรื่อง ศาสนา ไม่ต้องการชนเผ่านี้ …เธอยอมเจ็บ แบกรับคำตำหนิคนเดียว เธอทำเพื่อแผ่นดินเกิด เมียนมาไม่ประสงค์ให้มีมุสลิม)

ณ เดือนตุลาคม 2562 มีชาวโรฮีนจาเกือบ 1 แสนคนอยู่ในมาเลเซีย

ในอินเดีย…มีผู้ลี้ภัยกลุ่มนี้ราว 8 แปดหมื่นคนทะลักเข้าไป รัฐบาลอินเดียเป็นชาตินิยมชาวฮินดู ไม่ชอบมุสลิม …ถือว่าคนพวกนี้เป็นผู้อพยพผิดกฎหมาย ไม่อนุญาตให้ทำงาน ผลักดันกลับออกไป

อินโดนีเซีย…มีชาวโรฮีนจาได้ขอลี้ภัยไม่มากนัก เพราะระยะทางไกล

รัฐบาลเมียนมา ปฏิเสธเรื่องการสังหารหมู่… สังคมโลกก็ทำอะไรไม่ได้…

พ.ศ.2563 …มุสลิมเกือบ 1 ล้านชีวิต ไปอยู่ในค่ายบูลูกาลี (Balukhali) ในเขต คอกซ์บาซาร์ (Cox’s Bazar) ของบังกลาเทศ ในสภาพที่น่าสังเวช สภาพที่ต่ำกว่าความเป็นมนุษย์…

ชนรุ่นหลังที่เกิดมาเป็นโรฮีนจา …ทำไม…พวกเขาต้องมารับเคราะห์กรรมแสนสาหัสเยี่ยงอยู่ในนรกเยี่ยงนี้……

นรกบนดิน…มีจริง…ชาวโรฮีนจากำลังเผชิญอยู่…

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image