บทนำ : ย้ายประเทศ
มีการตั้งกลุ่ม “ย้ายประเทศกันเถอะ” ในเฟซบุ๊ก มีผู้เข้าร่วมจำนวนมากอย่างรวดเร็วผู้จัดทำเพจได้เปิดเผยกับสื่อว่า ตั้งใจเพียงแค่ทำโซเชียลมีเดียเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดและข้อมูล รู้สึกตกใจ ที่มีผู้สนใจเข้าร่วม จากสมาชิกไม่กี่คนกลายเป็นหลายแสน แต่ก็เข้าใจความรู้สึกของคนเหล่านี้ ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าคนสิ้นหวังกับระบบการบริหารประเทศ รู้สึกว่าสู้ต่อไปก็ไม่รู้ว่าในชีวิตนี้ เขาจะได้ในสิ่งที่เขาต้องการหรือเปล่า สู้ไปตายเอาดาบหน้าหรือว่าหาโอกาสที่มันดีกว่านี้
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม หรือดีอีเอส กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ได้รับการร้องเรียนว่า กลุ่มดังกล่าวมีเนื้อหาสร้างความแตกแยก เกลียดชังและมีความคิดเห็นเข้าข่ายหมิ่นสถาบัน เบื้องต้นพบว่าเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเชิงแนะแนวการศึกษา การประกอบอาชีพในต่างประเทศ ซึ่งจริงๆ เป็นเรื่องที่ดี และหน่วยงานภาครัฐเองก็ให้ข้อมูล และสนับสนุนผู้ที่มีความพร้อมมาโดยตลอดอยู่แล้ว ทั้งในแง่การไปศึกษาต่อในต่างประเทศ การประกอบอาชีพ อย่างไรก็ตาม หลายๆโพสต์แฝงประเด็นทางการเมือง บางคนมีพฤติกรรมชังชาติ จึงมีวัตถุประสงค์แอบแฝง จะตรวจสอบดูว่ามีเนื้อหาที่ผิดกฎหมายหรือไม่ หากพบก็จะดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดขณะที่นักการเมืองบางคน ตอบโต้ในลักษณะท้าทาย เยาะเย้ย อาทิ ถามมีปัญญาย้ายไหม มีความรู้ไหม ที่จะไปทำมาหากิน หรือซื้อตั๋วเครื่องบิน หรือต้องย้ายไปอยู่ในเรือนจำแทน หรือกล่าวว่า มีเงินซื้อตั๋วเครื่องบินหรือไม่ ถ้าไม่มีให้มาขอ
ขณะที่อีกหลายฝ่าย วิจารณ์ว่า น่าจะเกิดจากความอึดอัด หรืออัดอั้นกับสภาพการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ล่าสุด ยังมีปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดการเปรียบเทียบกับหลายประเทศ ที่มีความก้าวหน้า ทันสมัย และมีระบบการบริหารประเทศที่มีประสิทธิภาพ นอกจากแก้ปัญหาได้ตรงจุด ยังเปิดโอกาสให้คนรุ่นต่างๆ ได้เติบโต สร้างอาชีพและสถานะที่ตนเองวางเป้าหมาย ผู้ที่เข้ามาแสดงความสนใจ ส่วนมากเป็นคนรุ่นใหม่ เป็นวัยที่จะต้องเป็นอนาคตและกำลังสำคัญของประเทศในอนาคต กระแสความคิดย้ายประเทศ จึงเป็นเรื่องอ่อนไหวที่ไม่ควรมองข้าม แต่น่าจะศึกษาหาต้นเหตุและหาแนวทางแก้ไข
