ภาพเก่าเล่าตำนาน : เหตุไฉน…พระเยซูถูกตรึงกางเขน โดย พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก

การจับนักโทษตรึงไม้กางเขน คือวิถีของชาวโรมัน พระเยซูคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน

“การตรึงพระเยซูที่ไม้กางเขน” ตรงกับภาษาอังกฤษว่า… Crucifixion of Jesus

“ไม้กางเขน” เป็นเครื่องรางที่ลัทธินอกศาสนาคริสต์ใช้กันมาก่อน ถูกนำมาใช้ในคริสตจักรตั้งแต่ราวคริสต์ศตวรรษที่ 4 เมื่อจักรพรรดิคอนสแตนตินหันมานับถือศาสนาคริสต์

ในแผ่นดินพระองค์ ส่งเสริมให้ใช้ “ไม้กางเขน” เป็นเครื่องหมายของศาสนาคริสต์

Advertisement

ไม้กางเขน…เป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความรักของพระเจ้า หมายถึงความตาย ความอับอาย และความเจ็บปวด

นักโทษที่ถูกตรึง..จะตายอย่างช้าๆ และน่าสยดสยอง เป็นวิธีการประหารที่สงวนไว้สำหรับอาชญากรที่ชั่วร้ายที่สุด

เป็นวิธีการประหารของชาวโรมัน… ไม่ใช่เป็นวิธีของชาวยิว

Advertisement

ชาวคริสเตียนยกย่องไม้กางเขน เพราะพระผู้เป็นเจ้า ได้ทรงถูกตรึงบนกางเขน โดยความผิดที่ไม่ใช่ของพระองค์เอง… แต่เป็นของเราทุกคนโดยการตายแทนเรา จารีตการพิจารณาโทษของชาวโรมัน…

หลังคำตัดสินว่า “ผิด” …นักโทษจะถูกแห่ประจานไปรอบๆ เมือง ก่อนที่จะนำไปประหาร โดยใช้เส้นทางที่ยาวและคดเคี้ยวที่สุด ด้วยเหตุผลคือ เพื่อเป็นการประจาน

ถ้าหากในขณะที่เดินแห่ไป…มีผู้ใดจะคัดค้านและขอเป็นพยานในความบริสุทธิ์ของนักโทษ จะประท้วงคำพิพากษานี้ได้และคดีนี้จะต้องถูกรื้อฟื้นขึ้นมาพิจารณาใหม่

ไม้กางเขนมี 3 แบบ คือ

1.แบบเยรูซาเล็ม (Jerusalem Cross) ความหมายพระกิตติคุณจะขยายไป 4 มุมโลก และรำลึกถึงบาดแผล 5 จุดของพระเยซูคริสต์

2.แบบมอลทีส (Maltese Cross) เป็นรูปดาว 4 แฉก และมีมุม 8 มุม หมายถึงพรทั้ง 8 ประการของพระเยซู

3.แบบเซลติก (Celtic Cross) รูปแบบกางเขนที่ได้รับอิทธิพลของชาวไอร์แลนด์โบราณ วงกลมในกางเขนมีความหมายถึงความเป็นนิรันดร์ที่พระเยซูคริสต์ทรงฟื้นจากความตาย

ไม้กางเขนยังมีอีกหลายรูปแบบ ซึ่งขึ้นอยู่กับนิกาย และศาสนศาสตร์/เทวศาสตร์ (Theology) ที่แตกต่างกัน

พระเยซู…ท่านคือใคร

สาวพรหมจรรย์นางหนึ่งชื่อว่า มารีย์… เธอมีคู่หมั้นชื่อว่า โยเซฟ ก่อนที่ทั้งสองจะเข้าพิธีแต่งงานกัน เธอฝันว่ามีเทวทูตมาบอก..เธอจะตั้งท้องและมีบุตรชาย ขอให้ตั้งชื่อว่า “เยซู”

โยเซฟ ที่เป็นช่างไม้….พอรู้ว่ามารีย์ไม่ได้ท้องกับตนเอง ก็คิดจะถอนหมั้นแต่ก็มีเทวทูตมาเข้าฝันอีกว่า… อย่าได้กังวล เนื่องจากบุตรชายคนนี้เกิดจากวิญญาณอันบริสุทธิ์ไม่ได้เกิดตามธรรมชาติ นั่นทำให้โยเซฟเปลี่ยนใจรับเธอมาเป็นภรรยา

เยซูเกิดในเมือง เบธเลเฮม (Bethlehem) บนแผ่นดินยูเดีย ดินแดนปาเลสไตน์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรโรมันภายใต้กษัตริย์เฮโรด

ข้อมูลในพระวารสาร ได้กล่าวว่า… การประสูติของพระเยซูนั้นได้ถือกำเนิดขึ้น ณ ฟาร์มแห่งหนึ่ง วันที่ทรงสมภพไม่มีบันทึกไว้แน่นอน พระศาสนจักรได้กำหนดเอาวันที่ 25 ธันวาคม และวันดังกล่าวนี้ชาวคริสต์ถือเป็น “วันคริสต์มาส”

หลังจากการประสูติของเยซูที่เป็นเด็กผู้ชาย กษัตริย์เฮโรดเกิดนิมิต ปุโรหิตทำนายว่าเด็กชายคนนี้แหละ…จะมาเป็นกษัตริย์องค์ใหม่

ด้วยความวิตก.. กษัตริย์เฮโรดจึงสั่งให้รวบรวมประชาชนเพื่อจะสังหารเด็กชายเกิดใหม่ทั้งหมด

ทูตสวรรค์….ได้มาเตือนโยเซฟ ว่าให้รีบพาเยซูและมารีย์หนีไปอยู่ที่อียิปต์เพื่อความปลอดภัย….

เมื่อกษัตริย์เฮโรดสิ้นพระชนม์ ทูตสวรรค์จึงมาแจ้งกับโยเซฟในความฝัน ให้นำเยซูกับมารีย์กลับมายังแผ่นดินบ้านเกิดที่เมืองนาซาเร็ธ

เมื่ออายุได้ 12 ปี เยซูได้ไปฟังธรรมในหมู่นักพรต ณ วิหารแห่งหนึ่งในกรุงเยรูซาเล็ม …เยซู เป็นเด็กฉลาด ช่างสังเกต ช่างคิด สามารถตอบปัญหาได้อย่างคล่องแคล่ว

โยเซฟผู้บิดาและมารีย์ผู้เป็นมารดาก็แปลกใจว่า ลูกของตนเป็นเด็กพูดจามีเหตุผลยิ่งกว่าเด็กสามัญทั่วไป

เมื่อมีใครถามปัญหาอะไรกับเยซู มักจะตอบว่า ประเดี๋ยวก่อน ฉันจะถามบิดาของฉันดูก่อน…. คำว่า “บิดา” ในที่นี้หมายถึง “พระผู้เป็นพระเจ้า”

มีบันทึกในพระวารสารว่า… พระเยซูทรงรับแบพติสต์ (Baptise : การรับแบพติสต์ คือการจุ่มตัวลงไปในน้ำแล้วขึ้นจากน้ำ เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของคนที่ได้ตายจากชีวิตในอดีตและเริ่มต้นชีวิตใหม่เพื่ออุทิศตนให้กับพระเจ้า) จากจอห์น หรือ John the Baptist ตอนอายุ 30 ปี ที่แม่น้ำจอร์แดน เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นในการประกอบกิจ

หลังจากนั้น “พระเยซู” ใช้ชีวิตอยู่ที่ทะเลทราย 40 วัน ซึ่งจะต้องทนกับมารที่เข้ามาก่อกวน และพระเยซูก็ทรงผ่านการทดสอบ

พระเยซูนั้นมีสาวกของพระองค์ทั้งหมด 12 อัครสาวก และพระองค์ได้มอบหมายงาน และการเผยแพร่คำสอน

ท่านออกเดินทางไปทุกหนแห่ง เพื่อช่วยเหลือประชาชนให้พ้นทุกข์ภัยจากโรคภัยไข้เจ็บ พร้อมกับเผยแพร่คำสอนไปทั่ว

คำสอนแพร่กระจายออกไป …คนบางกลุ่มเริ่มเห็นว่าคำสอนของพระเยซูหลายเรื่องผิดจากคำสอนของศาสนายิว จึงทำให้พระองค์มีผู้เกลียดชังมาก …โดยเฉพาะนักพรตยิว

(ผู้เขียนตั้งข้อสังเกตว่า บรรดามิชชันนารีคริสเตียนทั้งหลายที่เข้ามาตั้งแต่สมัยแผ่นดินอยุธยา และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ล้วนแล้วแต่ทุ่มเท อุทิศตัวเพื่อรักษาโรคภัยไข้เจ็บ ให้ความรู้ทางการสาธารณสุขแก่ชาวสยาม ตั้งโรงเรียนและเผยแพร่ศาสนาคริสต์ ซึ่งอันที่จริง มิชชันนารีเดินทางไปดินแดนเกือบจะทั่วโลก เพื่อทำตามแนวทางพระเยซู)

ตลอดระยะเวลา 3 ปี ที่พระเยซูเจ้าทรงเทศนาสั่งสอนทั่วแผ่นดินปาเลสไตน์ (ค.ศ.30-33) ประชาชนเคารพและรักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงสอนไม่เหมือนกับพวกผู้ใหญ่ทางศาสนาของเขา

พระองค์ทรงให้ความหวังแก่คนที่หมดหวังไปแล้วว่า เขาสามารถกลับเปลี่ยนชีวิตและเริ่มต้นใหม่ได้ แต่พวกเขาก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่าอาณาจักรสวรรค์ที่พระองค์นำมาเป็นเช่นไร

มีคนกลุ่มหนึ่ง เกิดความคิดริษยา เกรงว่าพระเยซูจะ “ประกาศศาสนา” ชิงเอาสาวกของตนไปเสีย

ในช่วงหนึ่ง…พระเยซูประกาศว่า จะพาคนทั้งหลายไปสู่อาณาจักรแห่งสวรรค์ ในทำนองว่าตนเป็นบุตรของพระเจ้า

พวกนักพรตชาวยิวเดือดจัด ได้ตั้งข้อคัดค้านพระเยซูว่า พระเยซูไม่ใช่พระเมสสิอาห์ (Messiah) ที่จะช่วยชาวยิวตามทำนาย

เริ่มกระบวนการใส่ร้าย…พระเยซูมาเพื่อยุยงชาติชาวยิวให้แตกแยกกัน การที่พระเยซูสอนให้คนมีความเมตตา กรุณา เสียสละ และให้อภัย แม้กระทั่งแก่ศัตรู ถือเป็นการผิดประเพณีนิยม

ประชาชนทั้งหลายเริ่มสนับสนุนให้พระองค์เป็นกษัตริย์ แต่พระองค์ทรงปฏิเสธสิ่งนี้ตลอดเวลา โดยทรงค่อยๆ สอนว่า

“เราเป็นกษัตริย์จริงดังท่านว่า แต่อาณาจักรของเรามิใช่โลกนี้”

เมื่อพระองค์เข้ามาในกรุงเยรูซาเล็มอันเป็นเมืองหลวง ประชาชนมีความหวังที่จะรวมตัว-ลุกฮือขึ้น ภายใต้การนำของพระองค์เพื่อขับไล่พวกโรมันที่กดขี่ให้ออกไป

หากแต่ประชาชนต้อง “ผิดหวัง” เพราะพระองค์มิได้ทรงต้องการเช่นนั้น ขณะเดียวกันบรรดาพระผู้ใหญ่ซึ่งอิจฉาที่ประชาชนนิยมชมชอบพระเยซูเจ้า จึงวางแผนที่จะจับตัวพระเยซูส่งไปให้กับผู้ว่าราชการชาวโรมัน ชื่อ ปิลาต (Pilate)

กลุ่มที่ต้องการโค่นพระเยซู ไปกล่าวฟ้อง กุเรื่องว่า พระเยซูกำลังจะ “ตั้งตัวเป็นกษัตริย์” ตีเสมอจักรพรรดิซีซาร์ผู้นำสูงสุดของจักรวรรดิโรมัน

ค่ำวันหนึ่ง…ในวันเทศกาลปัสคาลส์ (Pascals) เป็นเทศกาลรำลึกถึงวันที่โมเสลพาชาวยิวหนีออกจากอียิปต์พ้นจากความเป็นทาส

มีการทานอาหารที่ชาวคริสต์ถือว่า เป็นอาหารมื้อสุดท้าย (The Last Supper) พระเยซูได้ประทับนั่งบนโต๊ะยาวพร้อมอัครสาวก 12 คน พระเยซูทรงรู้ล่วงหน้าด้วยญาณว่า จะมีคนมาทำร้าย

ในขณะรับประทานอาหาร…พระองค์ได้ปรารภเรื่องการที่จะมีคนมาปองร้ายให้สาวกฟัง สาวกจึงได้ทูลถามว่าจะเป็นใครในบรรดาพวกตนหรือไม่… พระเยซูจึงได้รับสั่งว่า…

“…ก็คนที่เอาขนมปังจิ้มในชามเดียวกับข้าฯ นั่นแหละจะเป็นคนทรยศ เป็นที่ทราบกันดีว่า…นั่นก็คือ ยูดาส…

“….ขอให้ทุกคนจงทานและดื่ม เราจะไม่ได้ทานร่วมกันอีกจนกว่าได้ร่วมกันใหม่ในอาณาจักรแห่งพระเจ้า (Kingdom of god)”

พอรับประทานเสร็จ..ร่วมกันร้องเพลงสรรเสริญเกียรติคุณของพระเจ้า แล้วพระเยซูก็ได้เสด็จพร้อมกับสาวกไปยังภูเขามะกอกเทศ (Mount of Olives)

ระหว่างทาง ยูดาสสาวกผู้ทรยศได้แอบหนีไป… พระเยซูได้ตรัสเตือนสาวกที่เหลือ 11 คน ให้รักซึ่งกัน

ยูดาส… แอบไปกระซิบข่าว…. บอกสถานที่จะพบพระเยซูเจ้าได้ ณ ที่ใด เพื่อจะให้ทหารมาจับกุม

ยูดาส คนทรยศได้ “สินบน” อย่างงามตอบแทน

พระเยซูถูกนำมาเข้าสู่กระบวนการพิจารณาตามแรงอาฆาต…

ปิลาต ผู้ว่าราชการชาวโรมัน …ไม่รู้จักพระเยซูเจ้า ไม่รู้จักพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิม ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้นเกี่ยวกับพระมหาไถ่และการสถาปนาอาณาจักรของพระเป็นเจ้า

ปิลาตหัวเราะเมื่อเห็นพระเยซูเจ้าทรงแต่งตัวด้วยเครื่องแต่งกายที่แสนจะธรรมดา เค้าจะทำอะไรได้เพื่อจะเป็นกษัตริย์ดังที่ถูกกล่าวหา

สิ่งเดียวที่ปิลาตประจักษ์ ก็คือ พระองค์มีบุคลิกที่ไม่ธรรมดา

ปิลาตต้องการปล่อยเยซู…เพราะไม่พบความผิดที่สมควรต้องโทษถึงตาย เพื่อเอาใจชาวยิว …จึงสั่งให้ทหารเฆี่ยนและปล่อยตัวไป

พวกทหารนำพระเยซูเจ้าไปเยาะเย้ยล้อเลียน โดยเอาหนามมาสานเป็นมงกุฎและสวมที่พระเศียร เอาไม้อ้อมาฟาดลงที่พระเศียรแล้วให้ถือไม้อ้อเหมือนกษัตริย์ทรงคฑา และเฆี่ยนพระองค์

ขณะนั้นในกรุงเยรูซาเล็มมีเทศกาลฉลองวันปัสกาหรือวันกู้ชาติของชาวยิว

ประชาชนที่มาชุมนุมต่างพากันตะโกนให้ตัดสินประหารชีวิตพระเยซู ด้วยข้อหา “พยายามจะเป็นกษัตริย์ของชาวยิว”

พระเยซู ถูกนำตัวไปประจานพร้อมแผ่นป้ายข้อหาติดอยู่ที่เหนือศีรษะ

วันรุ่งขึ้น…วันศุกร์….ทหารก็ให้พระองค์แบกกางเขนอันใหญ่และหนักไปตามถนนทั้งๆ ที่พระองค์บอบช้ำ

ขบวนแห่นักโทษนี้จะมีทหารคุมไป 4 คน อยู่คนละมุมเป็นรูปสี่เหลี่ยม ข้างหน้ามีป้ายประจานความผิดของนักโทษเขียนเป็น 3 ภาษา คือ กรีก ลาติน และฮีบรู

ระหว่างทาง…น่าสลดใจที่สุด…ไม่มีผู้ใดคัดค้านเพื่อความบริสุทธิ์ของพระเยซูกันเลยแม้แต่คนเดียว

ทหารโรมัน หัวเราะเยาะและพวกเขาเรียกพระองค์ว่า “กษัตริย์ของพวกยิว”

กางเขนที่พระเยซูแบกไปนั้นเข้าใจกันว่าเป็นกางเขนที่เราเห็นอยู่ในโบสถ์ทั่วๆ ไปซึ่งเรียกกันว่ากางเขนแบบลาติน

พวกยิว….อยู่ภายใต้การปกครองของโรมไม่มีอำนาจจัดการประหารชีวิต เขาต้องยอมให้ทางทหารโรมันจัดการ

พระเยซูแบกไม้กางเขนเดินทางออกไปสู่ตำบล โกลโกธา (Golgotha ซึ่งแปลว่าตำบล “เนินหัวกะโหลกผี”) พร้อมนักโทษประหารอีก 2 คน

พวกเขาตอกตะปูที่พระหัตถ์และพระบาทติดกับกางเขนแล้วยกขึ้นตั้ง ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดี

มีพระโลหิตซึมจากมือและเท้าที่ถูกตะปูตอก และพระศอ (คอ) (ตรงกับ พ.ศ.575) มีพระชนมายุได้ 32 พรรษา

พลัน…ก็เกิดความมืดปกคลุมทั่วแผ่นดิน พระองค์ทรงทนทุกข์เป็นเวลาหลายชั่วโมง ในที่สุดวิญญาณของพระองค์ก็ออกจากพระวรกายและสิ้นพระชนม์

สาวกคนหนึ่งของพระเยซูนำพระศพลงมาจากกางเขน ทหารโรมันห่อพระศพด้วยผ้าแล้วนำไปวางไว้ในอุโมงค์ฝังศพ จากนั้นจึงกลิ้งหินก้อนใหญ่ปิดปากอุโมงค์

ถูกฝังไว้ในคูหา 3 วัน แล้วศพหายไป… ด้วยความเชื่อว่าพระองค์เสด็จกลับคืนชีพและเสด็จสู่สวรรค์ไปแล้ว

เปโตรหรือปีเตอร์ อัครมหาสาวก ได้ประกาศตัวเป็นสาวกของพระเยซูโดยเปิดเผย ประกาศยอมสละชีวิต ขอเผยแพร่คำสั่งสอนของพระเยซู….จนถูกจับตัวส่งไปกรุงโรม

กษัตริย์ผู้ปกครองกรุงโรมันตัดสินว่า “ปีเตอร์” ไม่มีความผิด เลยได้โอกาสเผยแพร่คำสั่งสอนของพระเยซู จนกลายเป็นศาสนาคริสต์

ปีเตอร์ได้รับยกย่องว่าเป็นนักบุญ (Saint) ซึ่งคริสต์ศาสนิกชนได้พากัน เรียกว่า เซนต์ปีเตอร์ ต่อมาได้กลายเป็นชื่อของมหาวิหารสำคัญ คือ “วิหารเซนต์ปีเตอร์” ตั้งอยู่ในบริเวณสำนักวาติกันในกรุงโรม ประเทศอิตาลี…มาถึงทุกวันนี้

โรงเรียน สถานศึกษาในไทย ขึ้นต้นด้วยคำว่า “เซนต์” คือศรัทธา

ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลก มีศาสนิกชนประมาณ 2.4 พันล้านคนทั่วโลก คิดเป็นประมาณ 33% หรือเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรโลก …

ขอเรียนท่านผู้อ่านว่า…ที่เรียบเรียงมาทั้งหมดนี้ เพื่อการศึกษา เรียนรู้นะครับ…ยังมีข้อมูลที่สามารถนำมาโต้แย้ง แตกต่างไปจากนี้อีกมากจากหลายสำนัก…

โรงพยาบาล โรงเรียน สถานสงเคราะห์ผู้พิการ ฯลฯ ในประเทศไทยตั้งแต่อดีตหลายแห่ง..ล้วนมีรากฐานมาจากแนวทางของพระคริสต์ที่มาผสมผสานเข้ากับสังคมไทยได้อย่างกลมกลืน…มีคุณค่ายิ่งนัก

QR Code
เกาะติดทุกสถานการณ์จาก Line@matichon ได้ที่นี่
Line Image