การรับฟังผลสำรวจเป็นระยะๆ หลายๆ สำนัก จะได้ทราบถึงความคิดเห็นของกลุ่มตัวอย่างในช่วงนั้นๆ ถือเป็นประโยชน์ต่อการบริหาร เพราะจะได้รู้ว่างานที่ทำไปนั้นมาถูกทางหรือไม่ ล่าสุด นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจประชาชนในช่วงสถานการณ์โรคโควิด-19 ยังคงอยู่ ขณะที่รัฐบาลมีนโยบายเดินหน้าทางเศรษฐกิจกันแล้ว
นายธนวรรธน์ระบุว่า การสำรวจกลุ่มตัวอย่างครั้งนี้ ร้อยละ 55-63 ระบุว่า ยังไม่ฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 และอยู่ในพื้นที่ยังไม่ได้รับการฉีด ทำให้กว่า 40-70% คาดว่าความมั่นใจในการใช้จ่ายและท่องเที่ยวยังไม่คึกคัก เห็นว่ามาตรการรัฐอย่างโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ยังไม่สร้างบรรยากาศใช้จ่ายให้คึกคัก กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ระบุว่า ยังใช้จ่ายเหมือนเดิม ขณะที่ร้อยละ 20-30 เห็นว่าการใช้จ่ายยังซบเซา
ผลการสำรวจในครั้งนี้มีข้อน่าสนใจอีกอย่างคือ ประชาชนเริ่มกลับมากังวลเรื่องการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อีกระลอก มองว่าจะเป็นการระบาดรอบ 3.5 เพราะคลัสเตอร์ใหม่มีต่อเนื่อง จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงขึ้นแตะ 3-4 พันต่อวันอีกครั้ง ส่งผลทางจิตวิทยาการใช้จ่ายช่วงนี้ ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นประชาชนและธุรกิจอยู่ที่การฉีดวัคซีน ดังนั้น รัฐต้องประกาศให้ชัดเจนว่าจะสามารถฉีดวัคซีนตามเป้าหมายเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เพื่อให้กันยายน-ตุลาคม จำนวนตัวเลขติดเชื้อรายใหม่ควรต่ำกว่า 1,000 คน
ผลการสำรวจครั้งนี้ตอกย้ำว่า การฉีดวัคซีนนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่จะช่วยลดจำนวนผู้ป่วยและลดจำนวนผู้เสียชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วย เพราะหากการฉีดวัคซีนสามารถทำให้ผู้ป่วยใหม่ลดลง ผู้เสียชีวิตลดลง ความมั่นใจในการจับจ่ายใช้สอยจะมีมากขึ้น นักท่องเที่ยวมั่นใจในความปลอดภัย สอดรับกับการเปิดประเทศที่รัฐบาลกำลังผลักดัน และเมื่อกลไกทุกอย่างสามารถดำเนินไปข้างหน้าได้ เศรษฐกิจของประเทศก็จะเติบโตขึ้น ดังนั้น ปริมาณวัคซีนที่นำเข้า และการฉีดวัคซีนให้ประชาชนอย่างมียุทธศาสตร์ จึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญทั้งต่อตัวประชาชนคนไทย และสำคัญต่อประเทศชาติในมิติต่างๆ
